Wednesday, December 30, 2009

การออกกำลังกายกับคนขี้เกียจ

คุณต้องการลดน้ำหนัก แต่...ไม่อยากเลิกดูทีวี ต่อไปนี้เป็นไอเดียการออกกำลังกายที่คุณฝรั่งผู้เขียนอยากจะเสนอให้กับคุณ ๆ

วิธีใหม่ ๆ สำหรับคนขี้เกียจที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีเวลาที่จะฟิตร่างกาย ชาวอเมริกันเค้าสร้างสรรค์วิธีออกกำลังกายทั้งขณะทำงานไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือออฟฟิซก็ตาม

ด้วยการใช้บันไดแทนลิฟต์ในที่ทำงาน หรือจอดรถไกลจากที่ทำงาน อย่างน้อยคุณก็ได้ออกกำลังสัปดาห์ละ 7 วันทีเดียวเชียว

ความปรารถนาที่จะกำจัดน้ำหนักส่วนเกิน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนขี้เกียจลุกขึ้นมาออกกำลังกาย แต่ไม่ใช่ในวิธีทั่วไป เช่น การไปฟิตเนส แต่เป็นการพยายามรวมเอาการบริหารร่างกายที่สามารถทำในชีวิตประจำวันได้

ด้วยการเปลี่ยนกิจกรรมในบ้านให้แตกต่างไป เช่น ขณะดูทีวี เราก็สามารถเดินไปเดินมา หรือวางเก้าอี้ไว้หน้าทีวี ลุกขี้นยืน นั่ง เหมือนกับที่เราฝึก squats ก็ได้

ตั้งโปรแกรมลู่วิ่งเป็นแบบแมนนวล เดินบนลู่วิ่ง ขณะดูรายการโปรดสัก 30 นาที สามารถเบิร์นแคลอรี่ได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์

คงไม่มีข้อแก้ตัวต่อไปอีกว่าคุณไม่มีเวลาออกกำลังกาย ลองเอาไอเดียนี้ไปทำกันดู


แปลและเรียบเรียงจาก EzineArticle.com

สิ่งที่คุณไม่ค่อยได้ยินมากนักเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

หยิบหนังสือเกี่ยวกับการบริหารร่างกาย หรือไม่ก็วิดีโอฟิตเนสขึ้นมา คุณจะพบคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการออกกำลัง บางทีก็แถมเรื่องโภชนาการเข้าไปด้วย แต่มีประเด็นหนึ่งซึ่งบ่อยครั้งมักถูกละเลยไป
สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากต่อสุขภาพและการบริหารร่างกายก็คือ...
พร้อมรึยัง???
นั่นก็คือ....การพักผ่อน

เมื่อคณออกกำลังกาย หรือแม้แต่ประกอบกิจกรรมประจำวันอื่น ๆ กล้ามเนื้อจะถูกทำลายและสารพิษก็ถูกสร้างขึ้นมาภายในร่างกาย เห็นได้ชัดจากการออกกำลังกาย เนื้อเยื่อและเส้นใยของร่างกายนั้นถูกทำลายลงไป

ร่างกายไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อ หรือลดน้ำหนัก ได้โดยปราศจากโภชนาการอันเหมาะสม มันต้องการการพักผ่อนเพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และเสริมสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่หลังจากถูกทำลายลงไป

ความเข้าใจผิดประการหนึ่งที่ทำให้หลายคนเลิกออกกำลังกายในระยะเวลาอันสั้น ก็คือพวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมให้ร่างกายได้พักผ่อนและเสริมสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่

บางครั้ง ก็มีสาส์นส่งตรงมาจากร่างกาย ในรูปแบบของอาการเจ็บปวด

ส่วนใหญ่แล้ว พวกเราคุ้นเคยกับอาการปวดกล้ามเนื้อจากการใช้งานมากเกินไป เนื่องจากเราไม่ได้ใช้หรือแทบไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นนัก เหล่านักกีฬาทั้งหลายก็ประสบพบเจออาการเช่นนี้เช่นกัน

เนื่องจากความเข้าใจผิด เรายังคงใช้งานมันมากเกินไปเพื่อให้มันฟื้นตัวกับสิ่งที่เราฝึก ถ้าเราออกกำลังอีกก่อนที่มันจะฟื้นตัว มันก็เหมือนกับหนี้สินมันที่มันพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเรายังไม่รับรู้ถึงสาส์นที่ร่างกายแจ้งมา ร่างกายจะเริ่มกลัวสิ่งที่เรากำลังทำ ทำให้อาการเจ็บปวดมากขึ้น และเราจก็ะเริ่มหาข้อแก้ตัวที่จะไม่ออกกำลังกายอีกต่อไป

สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำนั้นคุ้นเคยกับสาส์นที่ร่างกายส่งออกมา ขนาดนักกีฬาหก็ยังต้องพักร่างกายบ้างเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง เป็นสิ่งที่ต้องทำ และเพื่อให้การฝึกไม่น่าเบื่อด้วย

ขอให้แน่ใจว่าเราพักผ่อนเพียงพอ และสุดท้าย...อย่าพักผ่อนมากจนเกินไป

แปลและเรียบเรียงจาก EzineArticle.com

Tuesday, December 29, 2009

ออกกำลังกายช่วยลดความเครียด - เรื่องจริงหรืออิงนิยาย

สืบเนื่องจาก หมู่นี้งานเยอะ เครียด ทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย (ข้ออ้างชัด ๆ) ก็เลยพาลให้นอนไม่หลับ ท้องผูก
พอให้อ่านบทความนี้ มันเป็นการกระตุ้นเตือนย้ำว่า เราต้องออกกำลังกายได้แล้ว เพราะมันช่วยเรื่องการนอน ท้องผูก แล้วก็ไม่เครียดเรื่องงานที่เราพาลกลับมาคิดต่อที่บ้าน
ก็เลยแปลให้ผู้อ่านได้อ่านกัน คิดว่าน่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
และเช่นเคย แปลจาก EzineArticle.com เจ้าเก่าดั้งเดิมค่ะ
ปีใหม่มีนี้ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกคนสุขภาพดี แข็งแรง ทั่วถ้วนทุกตัวคน สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ

คุณอาจเคยไปหาหมอ แล้วหมอก็บอกว่าคุณกำล้งเครียด คุณควรทำอย่างไร แก้ไขด้วยวิธีไหน กันดี


คุณอาจจะเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างว่า การออกกำลังกายสามารถช่วยลดความเครียดได้ แล้วคุณจะรู้แล้วอย่างไรล่ะว่ามันจริงหรือไม่จริง

ความเครียดเป็นปัญหาหลักในสังคมเรา ซ้ำยังเป็นโรคหนึ่งซึ่งร้ายแรงสามารถนำไปสู่อาการบาดเจ็บต่าง ๆ รวมทั้งการเสียชีวิตด้วย

เมื่อเราถูกความเครียดรุมเร้านั้น แต่เราก็กลับไม่รู้ถึงวิธีการอันเหมาะสมในการกำจัดมันออกไป

แล้วถ้าเราเริ่มออกกำลังกายล่ะ มันจะช่วยขจัดเจ้าความเครียดออกไปจากร่างกายได้จริงหรือไม่ คำตอบก็คือ “จริง” จริงอย่างแท้และแน่นอนเสียด้วยซิ

คุณอาจเคยได้ยินมาว่าความเครียดส่วนใหญ่นั้นเกิดจากความกังวล ซึ่งก็จริง แต่ยังเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ อีกหลายสาเหตุ

การจัดการกับความกังวล เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการกำจัดความเครียดและควบคุมมันให้อยู่ในกำมือของเราได้ และนั่นคือคำตอบว่าทำไมการออกกำลังกายจึงช่วยได้

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่จะทำให้มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่มันยังเป็นส่วนสำคัญข้อหนึ่งในการลดความเครียด ซ้ำยังมันนำไปสู่ขั้นตอนอื่น ๆ ได้ต่อไปอีกด้วย

ขณะที่ออกกำลังกาย คุณต้องโฟกัสไปยังสิ่งที่คุณกำลังทำ ด้วยการกระทำเช่นนี้ จิตใจของคุณจึงไม่มีเวลาไปกังวลเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่มันกำลังรบกวนใจคุณอยู่ สมองผลักดันเจ้าความกังวลออกไปและโฟกัสไปที่สิ่งใกล้ตัวแทน ดังนั้น มันจึงขับความเครียดไปจากความคิดของคุณ

และถ้าคุณกำลังเครียดกับสุขภาพของคุณอยู่ล่ะก็ อย่ามัวผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เลย รีบ ๆ ออกกำลังกายกันซะ จะบอกให้

Saturday, November 21, 2009

Easy Exercises For Computer Users

สืบเนื่องจาก NaaToy มักได้ยินเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ในที่ทำงานหลายคน (รวมถึงตัวเองด้วย ใช่ว่าจะเก่งหรือแข็งแรงอะไรนัก) บ่นปวดไหล่บ้าง ปวดหลังบ้าง ปวดมือหรือข้อมือบ้าง

ประจวบเหมาะว่าได้อ่านบทความนี้จาก EzineAricle.Com แล้วมันช่างตรงกับชีวิตจริงเสียนี่กระไร ก็เลยแปลและเรียบเรียงมาให้ผู้อ่านไม่กี่คนได้อ่านกัน
ก็หวังว่าผู้อ่านเพียงไม่กี่คนจะได้รับประโยชน์ รวมทั้งสาระดี ๆ บ้าง เชิญอ่านได้เลยค่ะ

คุณต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือไม่? คุณต้องทนทุกข์ทรมานจากการปวดหลังและไหล่เป็นประจำหรือเปล่า? เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายของคุณกำลังเกิดปัญหาด้านสุขภาพแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคุณควรพึงจำไว้ขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็คือ การหยุดพักเป็นระยะ ๆ และยืดเนื้อยืดตัวบ้าง ร่างกายของคุณจะได้สมบูรณ์แข็งแรงพอที่จะทำงาน เล่นเกมส์หรือเนต ต่อไปได้


โรคพังผืดรัดเส้นประสาทฝ่ามือ (Carpal Tunnel Syndrome)
เป็นกันมากกับเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานเกินนาน และสิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ ก็เป็นการบริหารร่างกายที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้น รวมทั้งโรคที่กล่าวข้างต้นด้วย


ขณะนั่งทำงาน เล่นเกมส์หรือเนตอะไรก็แล้วแต่ คุณควรเหยียดข้อมือและนิ้วเป็นคราว ๆ ไป กำหมัดหลวม ๆ หมุนข้อมือตามเข็มนาฬิกา ทวนเข็มนาฬิกาเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อมือ

ทุกครึ่งชม. คุณควรบริหารศีรษะ คอ และไหล่ ด้วยการหมุนคอบ้าง หันศีรษะไปทางซ้ายขวาบ้าง หมุนไหล่บ้าง

นอกจากนี้การวางตำแหน่งร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน คุณควรนั่งตัวตรง ไม่งอหรือโก่งตัว และเมื่อคุณรู้สึกตัวว่าคุณทำเช่นนั้นอยู่ ก็ควรแก้ไขการวางตำแหน่งร่างกายเสียใหม่ ปรับวางข้อศอกบริเวณที่พักแขนเก้าอี้เบา ๆ และมองตรงไปยังจอภาพ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อคุณปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้แล้ว มันจะช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพในการทำงาน เล่นเกมส์ หรือเนต หน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานเกินนานได้ ไม่มากก็น้อย

โรคพังผืดรัดเส้นประสาทฝ่ามือ (Carpal Tunnel Syndrome)
เป็นโรคที่พบได้บ่อย มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงวัยกลางคน
โดยจะมีอาการเริ่มต้น คืออาการชาปลายนิ้วเวลาใช้งานฝ่ามือติดต่อกันเป็นเป็นระยะเวลานานๆ เช่น ขับรถ จับเตาหลิวปรุงอาหาร หรือแม้แต่การใช้มือจับโทรศัพท์ นิ้วที่พบว่ามีอาการอยู่บ่อยๆ คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง

หลังจากที่มีอาการเพียงครั้งคราว ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการรักษาอย่างถูกต้อง อาการชาที่เกิดจะเป็นหนักมากขึ้น นานขึ้น และมีอาการปวดตามมา อาการปวดจะร้าวขึ้นมาจากข้อมือ และ ลามไปต้นแขนข้างนั้นได้


ถ้ายังคงเพิกเฉย ฝืนทนอาการปวด และชา กล้ามเนื้อบริเวณฝ่ามือก็จะเริ่มเหี่ยว ลีบเล็กลง จนเห็นได้ชัด และแรงของข้อมือ และนิ้วมือจะลดลง ไม่มีกำลังที่จะจับสิ่งของเล็กๆให้อยู่ที่มือได้

เนื่องจากที่ฝ่ามือคนเรา จะมีเส้นประสาทที่สำคัญเส้นหนึ่งที่เราเรียกว่า เส้นประสาทมีเดี้ยน (Median Nerve) เส้นประสาทเส้นนี้ นอกจากจะมีหน้าที่รับความรู้สึกบริเวณนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนางแล้ว ยังมีหน้าที่กระตุ้นทำให้ กล้ามเนื้อฝ่ามือมีกำลัง และเคลื่อนไหวตามปกติ เมื่อมีพังผืดที่หนาตัวไปรัดเส้นประสาท อาหารหล่อเลี้ยงที่มากับ เส้นเลือดแดง ก็จะขาดหายไป เพราะเลือดไม่สามารถวิ่งผ่านในจุดที่ถูกกดทับได้ เซลประสาทก็จะค่อยๆเสื่อมถอยลง และมีอาการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ตามมา


ขอขอบคุณข้อมูลเรื่องโรคพังผืดรัดเส้นประสาทฝ่ามือ จาก http://www.bangkokhealth.com

Sunday, November 15, 2009

สิ่งที่สาว ๆ พึงรู้กับการฝึก Weight Training

สืบเนื่องจาก อาการตัวใกล้จะแตกอยู่รอมร่อของ NaaToy ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากไปเที่ยวเมืองจีน ก็เลยต้องออกกำลังกายซะหน่อย ด้วยการวิ่ง สองสามอาทิตย์ผ่านไปแล้ว น้ำหนักเท่าเดิม เนื้อตัวจวนเจียนแตกเข้าไปทุกขณะ ก็เลยคิดจะจัดการเปลี่ยนแผนการออกกำลังกายไปเป็นการยกเวท สลับวันกับการวิ่ง ดูซิว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า ได้ผลอย่างไรจะเล่าแจ้งแถลงไขให้ทราบเป็นคราว ๆ ไป งานนี้ก็เลยเอาเรื่องราวเกี่ยวกับการยกเวทมาแปลและเรียบเรียงให้เรา ๆ ท่าน ๆ ให้อ่านกัน บทความดี ๆ นี้มาจาก Ezinearticles เจ้าเก่านั่นเอง มาอ่านกัน มา

สาว ๆ ส่วนใหญ่คิดว่าวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้หุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มก็คือการออกกำลังกายประเภทแอโรบิคเพียงอย่างเดียว เช่น การวิ่ง ปั่นจักรยาน รวมทั้งการการคุมอาหาร แต่การฝึก weight training สามารถช่วยให้สาว ๆ เบิร์นไขมัน เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และกระชับรูปร่าง โดยที่กล้ามเนื้อไม่ได้ใหญ่โตขึ้นเลย ถ้าคุณเป็นผู้หญิงที่อยากออกกำลังแล้วได้ผลดีล่ะก็ จงอ่านเรื่องราวที่คุณพึงรู้ต่อไปนี้

แม้ว่าการออกกำลังกายประเภทแอโรบิคจะเบิร์นแคลอรี่ต่อนาทีแล้วมากกว่าการฝึก weight training ก็ตาม แต่การฝึก weight trainin ช่วยให้มวลกล้ามเนื้อกระชับ มันจะค่อย ๆ เบิร์นแคลอรี่ให้กับร่างกาย แม้ว่าคุณไม่ได้ออกกำลังกายก็ตาม นั่นก็คือ กล้ามเนื้อที่คุณบริหารระหว่างการออกกำลังกายนั้นจะเบิร์นแคลอรี่ต่อไปอีก 36 ชม. ซึ่งมากกว่าการออกกำลังกายประเภทแอโรบิค จึงทำให้การฝึกประเภท weight training ส่งผลกับการเผาผลาญให้ได้ผลดีขึ้น ช่วยให้เบิร์นแคลอรี่ได้มากกว่าที่คุณออกกำลังกายประเภทแอโรบิคเพียงอย่างเดียว

การยกเวทเป็นการเสริมสร้างความหนาแน่น และความแข็งแรงให้กับกระดูก ระหว่างการยกเวทนั้น กล้ามเนื้อบริเวณกระดูกนั้นจะทำการดึงกระดูกบริเวณที่เราออกกำลัง การตึงบริเวณกระดูกกระตุ้นให้ร่างกายเสริมสร้างมวลกระดูก ถ้าคุณยังสาวน้อยถึงปานกลาง การเสริมสร้างความหนาแน่น และความแข็งแรงของกระดูก จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนในภายหลัง แต่ถ้าคุณเป็นสาวอายุมากขึ้นมาหน่อย หรืออาจจะเป็นสาวที่มีความหนาแน่นของกระดูกน้อย การยกเวทช่วยให้การสูญเสียมวลกระดูกช้าลงได้

สิ่งหนึ่งที่ทำให้สาวน้อย สาวมาก ถอยห่างจากการยกเวท ก็คือความกลัวการเพิ่มกล้ามเนื้อที่ทำให้ดูไม่เหมือนผู้หญิงนัก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือความล่ำสัน บึกบึนนั่นเอง ความบึกบันนั้นไม่ใช่แค่เกิดจาการยกเวทเท่านั้น แต่ยังต้องเกี่ยวกับการบริโภคโปรตีนอย่างมากมาย ที่ทำให้กล้ามเนื้อโตขึ้น ฮอร์โมนของผู้หญิงพัฒนามวลกล้ามเนื้อได้น้อยกว่าผู้ชายหลายเท่านัก โปรแกรมการฝึก weight training โดยพื้นฐานแล้วเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายกระชับ แต่ไม่ได้เพิ่มความล่ำให้กับสาว ๆ

เอาล่ะ คุณก็รู้แล้วนะว่า การฝึกประเภท weight training ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ สร้างความแข็งแรงให้กระดูก เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายกระชับ ได้อย่างไรบ้าง หวังว่าคุณจะทดลองยกเวทบ้าง ร่างกายคุณมันจะได้สำนึกในบุญคุณของคุณไม่มากก็น้อย

Thursday, November 5, 2009

ว่าด้วยเรื่องท้องผูกกับการออกกำลังกาย

สืบเนื่องจากไม่ได้ออกกำลังกายมานานถึง 5 เดือน ด้วยความที่ติดเอเอฟอย่างหนักหนาสาหัส แต่...ก็แค่ 3 เดือนเองนี่นา ไปโทษเอเอฟได้อย่างไร ต้องโทษตัวเองซิ ส่วนอีก 2 เดือนที่เหลือน่ะ ฝนมันก็ดั๊นตกทั้นวัน ทุ๊ดวัน แอ่น ความขี้เกียจอีกต่างหาก ก็เลยขาดการออกกำลังกายไปซะ

เดือนสองเดือนที่ผ่านมา ก็เกิดอาการท้องผูก แรก ๆ ก็ไม่รู้เพราะอะไร พยายามกินนู่นกินนี่ ตามที่ใคร ๆ เค้าบอกกัน สุดท้ายพี่ชายแนะว่า แกน่ะ ต้องออกกำลังกายน่ะเฟ้ย มันช่วยได้ ไอ้เราก็จริงเหรอ ไม่เชื่อหรอก

แต่พอกลับจากไปเที่ยวจีน มีคนทักมากมายทักกันว่าอ้วนขึ้นนะ ไอ้เราก็อุ้ยตายว๊ายกรี๊ด...ทำไมทักฉันอย่างนั้นล่ะ แต่ก็สำนึกได้ทีหลัง เพราะว่าตอนไปเที่ยวจีนกินข้าวเยอะมากไปหน่อย มื้อละ 2 ถ้วย ซึ่งถ้าอยู่เมืองไทยไม่เคยกินขนาดนี้ แบบว่า...Enjoy Eating น่ะ

สัปดาห์ต่อมา NaaToy ก็ฟิตออกกำลังกาย เริ่มจากการวิ่ง วิ่งไปได้ประมาณ 2 วัน อาการท้องผูกก็หายไป ระบบขับถ่ายเป็นปกติ มันก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันเนอะ ก็เลยลองเสาะหาข้อมูลในเน็ต ว่าการออกกำลังกายกับท้องผูกมันเกี่ยวข้องอะไร อย่างไรกัน ก็ได้ความมาว่า

อย่ามองข้าม 5 เหตุ ส่งผลท้องผูก
ท้องผูกเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป มักเกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย และขาดการออกกำลังกาย ถ้ามีอาการท้องผูกเป็นประจำอาจบ่งชี้ว่า จะมีปัญหารุนแรงเกี่ยวกับสุขภาพในระยะยาวได้ ถ้าลำไส้ใหญ่ทำงานเป็นปกติจะช่วยให้ขับถ่ายดี และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้

นอกจากอาการท้องผูกจะเกิดจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังสามารถเกิดได้จากปัจจัยอื่นได้อีก เช่น

1. ไม่สนใจอาหารเส้นใย อาหารที่มีเส้นใยมากๆ จะเป็นเหมือนไม้กวาดที่เข้าไปกวาดล้างของเก่าหมักหมมให้สลายตัวออกไปจากลำไส้ของคุณ ร่างกายต้องการเส้นใยวันละ 20-25 กรัม เพื่อช่วยในการขับถ่าย แต่ทุกวันนี้ข้าวขาว ขนมปัง เบเกอรี่ ช็อกโกแลต เป็นอาหารที่มาแรงได้ใจสาวๆ ซะจนอาหารเส้นใยแทบไม่มีโอกาสได้แจ้งเกิด ท้องน้อยๆ เลยผูกเอา ผูกเอา

2. ความเครียด ศัตรูตัวร้าย ความเครียดจะทำให้ระบบทุกส่วนในร่างกายรวนเร ไม่เว้นแม้แต่ระบบขับถ่าย เพราะเมื่อเกิดความเครียด ลำไส้จะหยุดบีบตัวชั่วคราว ทำให้เบื่ออาหาร พร้อมกับถ่ายไม่ออก เมื่อไรที่หยุดเครียด นั่นล่ะถึงจะกลับมากินง่ายถ่ายสะดวกเหมือนเดิม

3. การกลั้นอุจจาระ ก็ร่างกายร่ำร้องว่าจะถ่าย แล้วกลับไม่ยอมให้มันได้ทำงานเอง แล้วจะไปโทษใครได้ ถ้าร่างกายจะเกิดความเคยชิน ไม่บีบตัว และไม่ถ่ายไปซะดื้อๆ นอกจากนี้ อุจจาระเก่าๆ ที่คุณกลั้นไว้ก็จะถูกดูดน้ำออกไปทุกวันๆ ทำให้มันเป็นก้อนแข็งอุดตัน ปิดกั้นการเคลื่อนตัวของของเสียในลำไส้ จึงยิ่งทำให้ท้องผูก ถ่ายลำบากยิ่งกว่าเดิม

4. ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นการกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารที่ดีที่สุด เพราะการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจะทำให้กล้ามเนื้อลำไส้บีบตัวและเกิดการขับถ่ายของเสียออกมา คนที่นั่งหรือนอนทั้งวัน โอกาสที่ระบบขับถ่ายจะทำงานได้ดีก็ยากหน่อย

5. ทานยาระบายบ่อยครั้ง ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรจะใช้ยาถ่าย เพราะการใช้สารแปลกปลอมเข้าไปช่วยในการระบาย จะไปสร้างความเคยชินให้กับลำไส้ ทำให้หยุดทำงานตามปกติ และจะบีบตัวขับถ่ายอุจจาระก็ต่อเมื่อกินยาเข้าไปกระตุ้นเท่านั้น คนที่ใช้ยาถ่ายติดต่อกันนานๆ จึงจะมีปัญหาท้องผูก ถ่ายเองไม่ได้ ถ้าไม่ทานยา

อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอนะคะ อย่าปล่อยให้โรคท้องผูกกลายเป็นปัญหากับคุณในระยะยาวค่ะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ --> ขอบคุณอย่างแรงค่ะ

Monday, October 26, 2009

China Trip (ตอน 11)

24 ตค. 52 วันนี้เป็นวันช้อปปิ้ง เรากับพี่ ๆ อีก 3 คนที่ไม่ชอบช้อป ก็ตกลงปลงใจว่าพากันไปเมืองจำลองกันดีกว่า ก็ถามไกด์กันว่า จะไปยังไงกันดี ไกด์ก็บอกว่าให้ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อยู่หน้าห้างที่พวกเราถูกไปปล่อยให้ชอปปิ้งนั่นเอง แล้วไปลงที่สถานีฮวาเฉียวฉึง (Huaqiaocheng) ซึ่งตรงกับเมืองจำลอง (เรียกกันประมาณว่าจิ่งซิ่วจงหัว) เลย แล้วให้ไปเจอกันที่ร้านอาหารตอน 6 โมงครึ่ง คุณไกด์ให้ใบถ่ายเอกสารชื่อร้านอาหาร มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ แล้วไกด์ก็ให้เบอร์โทร เผื่อมีอะไรขัดข้องหมองใจ แถมยังมีเขียนในใบนั้น รับรองว่าเป็นลูกทัวร์ ให้ต้อนรับขับสู้ประมาณนั้นด้วย ซึ่งไกด์แกบอกไว้ว่าร้านอาหารมันอยู่ตรงกันข้ามกับเมืองจำลองนั่นแหละ พวกเราก็เลยใจชื้นขึ้นเยอะเลยทีเดียว

แล้วคุณไกด์ใจดีก็พาไปส่งที่สถานีรถไฟใต้ดิน แลกเหรียญขึ้นรถไฟฟ้า ราคาคนละ 5 หยวน เรากับพี่ ๆ อีก 3 คนก็พากันไป แล้วก็ถึงเมืองจำลองจนได้ ที่นี่เราต้องใช้แผนที่ค่ะ เพราะสถานที่กล้างขวางยิ่งนัก โดยส่วนตัวไม่เคยใช้แผนที่ได้สึกหรอขนาดนี้มากมายมาก่อน งานนี้แผนที่เละได้ใจจริง ๆ

ที่นี่นอกจากจะมีเมืองจำลองแล้ว ก็ยังมีการแสดงต่าง ๆ นานา และโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะอยู่ในโซนหมู่บ้าน ดูการแสดงของแต่ละหมู่บ้านซะมากกว่า

การแสดงแรกที่เราได้ดู เป็นการแสดงของหมู่บ้าน LI ซึ่งอยู่ที่เกาะไหหลำ จะเป็นการแข่งของสองทีม เกี่ยวกับการปีนมะพร้าว การเล่นลูกข่าง ก็สนุกดี ลุ้น เชียร์ กันมันส์ดี ตอนจบมีการดึงคนดูไปเต้นด้วย นักแสดงก็มาดึงตัวเราไปเต้นด้วย ก็เออ...เอาก็เอาวะ ก็สนุกดี ไปปล่อยแก่กันที่เมืองจีน

การแสดงที่ประทับใจที่สุดจนต้องดูสองรอบชื่อว่า Unparalleled Hero ที่ Horseback Battle Field แค่สถานที่แสดง ได้อ่านก็น่าดูแล้ว คิดไปว่าประมาณต่อสู้บนหลังม้า พอไปดูจริง ๆ แล้ว หูว์...มันเจ๋งได้ใจจริง ๆ ประมาณว่าเป็นสงครามแย่งชิงเมือง แม่ทัพควบม้าได้เท่ห์สุด ๆ ยิ่งขี่ม้าเร็ว ๆ นะ โหย...อะไรมันจะเท่ห์ได้ใจขนาดนั้นก็ไม่รู้ การพากษ์ ให้เสียงต่าง ๆ นานา ก็เร้าใจ ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาของเค้าก็ตาม แต่มันรู้เรื่องได้จากน้ำเสียง ท่าทางของนักแสดง เร้าใจสุด ๆ


เป็นการแสดงศึกสงคราม มีการดวลกันเดี่ยว ๆ บ้าง ถูกรุมกันบ้าง เก่งอ่ะ มันคล้าย ๆ กับแสดงกายกรรมบนหลังม้าเหมือนกัน คนจีนเก่ง นับถือ นับถือ

แล้วก็มีการบุกเข้าเมือง มีการขว้างหินลงมาจากตัวเมือง มีคนตกลงมาจากกำแพงเมือง มีการยึดเมืองกลับคืนมา ต่อสู้บนหลังม้า สุดท้ายจบด้วยฝ่ายที่แพ้ จูงม้ากลับด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กระโผลกกระเผลกกันไป สนุกดี มันเหมือนกับที่เราได้ดูในทีวีน่ะ ตื่นเต้น สนุก ลุ้นระลึก ชอบมากมายก่ายกอง ตัดสินใจถูกแล้วที่มาที่นี่แทนการไปช้อปปิ้ง

พอถึงเวลาอันสมควรที่เราจะต้องจรลีไปร้านอาหารตามที่นัดไว้ตอน 6 โมงครึ่ง เพื่อความมั่นใจพี่ในกลุ่มก็เลยไปถามไกด์จีนซึ่งมากับกลุ่มคนไทย เค้าก็บอกว่าร้านนี้ถ้าเดินมันซับซ้อนนิดนึงนะ นั่งแท็กซี่จะสะดวกกว่า ก็ให้ข้ามสะพานลอยไปขึ้นฝั่งตรงกันข้าม
พวกเราก็พากันข้ามสะพานลอยไปอีกฟากถนน เรียกแท็กซี่ ปรากฎว่าแท็กซี่มันพากันส่ายหน้า ไม่ไป หรือไม่รู้จัก ก็ไม่รู้ เอาล่ะซิ มันไม่หมูเสียแล้ว ก็เลยพากันไปถามที่โรงแรมใกล้ ๆ คิดว่าน่าจะรู้ ปรากฎพนักงานในนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามคนแถวนั้นหลายคนก็ไม่รู้ จนมาถึงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่คงพากันมาพักผ่อนหลังจากกินข้าวเสร็จ เป็นที่พึ่งที่ดีอย่างมากมาย พี่เค้ายื่นกระดาษใบที่มีที่อยู่ของร้านอาหารให้ดู พอเห็นว่าเค้ารู้จัก พวกเราก็ใจชื้นขึ้นเยอะ แกพยายามบอกทางเป็นภาษาใบ้ ซึ่งพวกเราก็ไม่เข้าใจ พอดีเราพกปากกา กระดาษ ติดตัวอยู่แล้ว ก็เลยให้เขาเขียนแผนที่ให้ แถมยังเขียนบอกไว้ว่าร้านอาหารห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร พวกเราก็สุดแสนดีใจ ใกล้ ๆ นี่หว่า ก็เซี่ยะเซี่ยะกันไป

พวกเราพากันออกเดิน ทางมันเป็นถนนเล็ก ๆ ไม่สว่างนัก แต่ไม่ถึงกับมืดตื้บอะไร ก็เฮ้ย...เริ่มไกลขึ้นเรื่อย ๆ แถวนี้มันจะมีร้านอาหารเหรอฟระ ก็พากันไปเรื่อย ๆ ถามทางกันไปเรื่อย ๆ เจอคนรู้จักร้านบ้างไม่รู้บ้าง จนกระทั่งมาเจอกลุ่มทัวร์ชาวจีนลงมาจากตึกหลังหนึ่ง ก็คิดว่าน่าจะเป็นแถวนี้แหละ แต่ตึกมันดูแปลก ๆ โล่ง ๆ มีแต่พนักงานสาวสวยนางหนึ่งอยู่หน้าตึก มีคนจีนลงมาจากบันได พวกเราก็เดินผ่านกันไป ไม่แน่ใจนัก สักพักพวกเราก็เดินย้อนกลับมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งอีก พี่เค้าก็ถามยามดู ว่าจะรู้จักหรือเปล่า ยามคนดีก็ชี้ไปทางซ้ายมือที่เราเดินผ่านกันมาแล้ว เอ้า...ก็เลยลองเดิน ๆ กันไป ไปหยุดที่ตึกที่มีพนักงานสาวยืนอยู่ ก็เดินไปถามเค้าว่ารู้จักร้านอาหารนี้หรือเปล่า ก็ปรากฎว่าร้านนี้มันอยู่ข้างบนตึกนี่เอง ชั้นสาม พวกเราพากันขึ้นไป พร้อมยื่นใบถ่ายเอกสารเยิน ๆ ให้กับพนักงานในร้านอาหาร พวกเราได้นั่งโต๊ะสมใจสักที ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น สนุกดีเหมือนกัน แถมพวกเรายังมาก่อนคนที่ไปช้อปปิ้งเสียอีก เป็นความภาคภูมิใจซะจริง ๆ

อาหารมื้อนี้ มีความรู้สึกได้ว่าเป๊ปซี่เป็นอะไรที่อร่อยที่สุด ก็เพราะพวกเราเหนื่อยอย่างมากมาย คอแห้งหลาย ๆ หลังอาหารมื้อนี้พวกเราก็ต้องจรลีกลับเมืองไทยกันแล้ว ใจหนึ่งก็คิดถึงบ้านชะมัดยาด อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับไปทำงานเล้ย แต่มันก็ต้องกลับอ่ะนะ กลับบ้าน กลับเมืองไทย ดีกว่าเนอะ เย้..................

China Trip (ตอน 10)

ก่อนขึ้นเครื่องไปเซินเจิ้น ก็พากันไปเดินที่ถนนแห่งหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ เป็นถนนประมาณเซ็นเตอร์พอยต์ หญิงชายแต่งตัวทันสมัยสวยงาม เรายังกะบ้านนอกเข้ากรุงซะงั้น

จริง ๆ แล้ว พวกเราก็ไม่ได้เดินเที่ยวกันทุกคนหรอก ใครใคร่ลงเดิน เดิน ใครใคร่นั่งรอในรถ ก็รอ ไกด์ให้เวลาประมาณ 15 นาที ประมาณว่าเปิดหูเปิดตาซะงั้น เพราะเวลาไม่พอ กลัวรถติด แล้วจะตกเครื่องบิน ก็เลยต้องเดินจ้ำพรวด ๆ ตามไกด์ ไปได้สักครึ่งถนน ก็กลับ เพราะมันก็แค่เปิดหูเปิดตาแค่นั้น มันเป็นประหนึ่งการออกกำลังกายตอนเย็น เป็นการเดินเร็ว ถึงรถแล้วพากันหอบแฮ่ก ๆ ไม่รู้จะไปกันทำไมน้อ

เย็นย่ำค่ำคืน พวกเราก็พากันขึ้นเครื่องบินไปเซินเจิ้น และแล้วก็ดีเลย์อีกตามเคย เฮ้อออออออออออออ กว่าจะนอนก็ตั้งตี 1 ทำไมมันลำบากลำบนอย่างนี้หนอ...ชีวิต

China Trip (ตอน 9)











23 ตค. 52 วันนี้ได้ตะลอนไปที่ศูนย์วิจัยหมีแพนด้า ไปดูหมีแพนด้า กับ Red Panda สถานที่เค้าใหญ่โตดี อากาศเย็นสบายดี หมีก็เยอะดี มีทั้งตัวใหญ่ ตัวน้อย น่ารักดี

จากนั้นเราก็ไปศาลเจ้าสามก๊ก ต่อไปเป็นรายละเอียดของศาลเจ้าแห่งนี้ คัดลอกจากวิกิพีเดียค่ะ

ศาลเจ้าสามก๊ก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่วัดอู่โหวซื่อ ที่เมือง
เฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน สร้างขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์จิ้นตะวันตก ด้านหลังของวัดเป็นที่ตั้งสุสานของพระเจ้าเล่าปี่และจูกัดเหลียง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงในสามก๊ก ซึ่งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีน เรื่องราวต่าง ๆ ในสามก๊กเริ่มต้นในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เนื่องจากในขณะนั้นเล่าปี่ปกครองและแต่งตั้งเสฉวนเป็นราชธานี โดยมีจูกัดเหลียงเป็นที่ปรึกษา ราษฏรใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่เมื่อเล่าปี่สวรรคตแล้ว ประชาชนต่างให้การยอมรับและนับถือจูกัดเหลียงมากกว่า จึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าขึ้นมาเพื่อเป็นที่เคารพบูชา แต่ไม่นานทางรัฐบาลจีนเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงมีคำสั่งให้สร้างศาลเล่าปี่ขึ้น รวมทั้งให้มีรูปปั้นขุนนาง 14 ท่านภายในศาลเจ้า


ศาลเจ้าสามก๊ก ก่อสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 766 หรือเมื่อประมาณ 1,700 ปีมาแล้ว เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สามก๊กในสมัย พ.ศ. 763 - พ.ศ. 823 สร้างขึ้นโดยพระบัญชาของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฉิงปลายราชวงศ์จิ๋น ในอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 3,700 ตารางเมตร สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในศาลเจ้าสามก๊ก เป็นผลงานการก่อสร้างที่ได้รับการปรับปรุงขึนในปีที่ 11 ของจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง และได้รับการยกย่องเป็นโบราณสถานแห่งชาติของจีนในปี พ.ศ. 2504 ต่อมาได้สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2527

ภายในศาลมีการแบ่งแยกพื้นที่ออกเป็นหลายส่วน รวมทั้งมีการแยกศาลต่าง ๆ ออกเป็นเฉพาะบุคคลคือศาลเล่าปี่ จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กและราชวงศ์ฮั่น ศาลเจ้ากวนอูที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของ 5 ทหารเสือฝ่ายบู๊ กวนอูเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์และกตัญญู จนได้รับการยกย่องจากชาวจีนให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์และโชคลาภ ศาลเจ้าจูกัดเหลียงที่มีความโด่งดังในด้านของสติปัญญาและความฉลาดเฉลียว ภายในศาลมีรูปปั้นจูกัดเหลียงขนาดใหญ่มีอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี ชาวจีนเรียกกันว่า "ทาสอุ้มทรัพย์" ตามความเชื่อต่อ ๆ กันขอชาวจีน ถ้าผู้ใดได้ลูบที่รูปปั้นจูกัดเหลียงแล้วจะมีโชคลาภ จูกัดเหลียงได้ชื่อว่าเป็นกุนซือหรือที่ปรึกษาคนสำคัญของเล่าปี่ที่มีความเฉลียวฉลาด วางแผนการรบและกลศึกต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน ชาวจีนส่วนใหญ่จะนับถือจูกัดเหลียงมากกว่าศาลเจ้าเล่าปี่และศาลเจ้ากวนอู จนมีการเรียกศาลเจ้าสามก๊กเป็นศาลเจ้าจูกัดเหลียงแทน นอกจากศาลเจ้าเล่าปี่ กวนอูและจูกัดเหลียงแล้ว ภายในบริเวณศาลยังมีรูปปั้นประวัติศาสตร์ของบุคคลสำคัญในสมัยราชวงศ์สู่ เรื่องราวต่าง ๆ จากตำนานอันยิ่งใหญ่ของสามก๊กของบุคคลอื่น ๆ อีกเช่น โจโฉ เตียวหุย และอีก 14 เสนาธิการทหารเอก

แต่เดิมสุสานของพระเจ้าเล่าปี่และจูกัดเหลียงไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ได้มีการย้ายศาลจูกัดเหลียงจากเมืองเซ่าเฉิงมาอยู่ในบริเวณใกล้กันในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ ในราวปี พ.ศ. 963 - พ.ศ. 1132 จนถึงยุคราชวงศ์หมิงจึงรวมสุสานและศาลเล่าปี่กับจูกัดเหลียงเข้าด้วยกัน และได้พัฒนาศาลเจ้าดังกล่าวโดยสร้างรูปปั้นขนาดใหญ่ของเล่าปี่ จูกัดเหลียง กวนอู และเตียวหุย เป็นประธานอยู่ในห้องโถงกลาง ด้านข้างมีรูปปั้นตัวละครและขุนศึกต่าง ๆ ในยุคสามก๊กประดับเรียงรายตลอดทางระเบียงเป็นที่สำหรับให้ประชาชนมาเคารพสักการะ ในเวลาต่อมาวัดอู่โหวซื่อก็กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อศาลจูกัดเหลียงหรือศาลเจ้าสามก๊ก และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเฉิงตูในปัจจุบัน

China Trip (ตอน 8)

22 ตค. 52 วันนี้ไปชมสะพานหลูติ้งเฉียว ตามโปรแกรมบอกไว้ว่าเป็นสะพานที่สร้างโดยใช้โซ่เหล็ก 13 เส้น สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์คังซี แห่งราชวงศ์ชิง ข้ามแม่น้ำต้าหู้เหอ

ในวันที่ 29 พค. 2478 เหมาเจอตุงที่พ่ายแพ้สงครามภายในประเทศได้เดินทางผ่านมายังเมืองนี้ และต้องการข้ามสะพาน แต่กองทัพของเจียงไคเช็ค ได้เผาทำลายสะพาน เพราะไม่อยากให้กองทัพแดงข้ามสะพานนี้ไปได้ หยางเชิงอู่ ผู้ซึ่งมีตำแหน่งในตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการของกองทัพแดงฝ่ายที่ 1 ได้จัดหาผู้กล้า 20 คน ไต่โซ่เพื่อข้ามฝั่งไปสู้กับทหารเชียงไคเช็ค สุดท้ายการรบครั้งนี้ทหารแดงเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและข้ามสะพานสำเร็จ เย้...

มันก็มีอีกว่าก่อนขึ้นสะพาน เนื่องด้วยฝนตกพรำ ๆ อีกด้วย มันก็ต้องปวดชิ้งฉ่องเป็นธรรมดา ก็ไปเข้าห้องน้ำสาธารณะที่ต้องเสียตังค์ด้วย คนละ 5 เหมา (10 เหมาเป็น 1 หยวน) เป็นเงินไทยก็ประมาณสองบาทห้าสิบ ก็สะอาดดี แต่กลิ่นต้องปรับปรุง หน้าตามันก็เป็นร่องยาว ๆ มีคอก เหมือนที่เคยเขียนไปแล้ว

พอเราข้ามสะพานกลับมาอีก ก็ปวดฉี่อีก ก็เข้าห้องน้ำอีก ก็จ่ายไปอีก 5 เหมาอีก ก็ลั่นล้าเข้าไป ประมาณว่าเมื่อกี้ส้วมนี่มันสะอาดดี แล้วตอนนี้...ไหงมีก้อนเหลือง ๆ เต็มไปหมดล่ะนั่น มันเก็บตังค์ แล้วมันก็ไม่เปิดให้น้ำไหล ล้างของเสียต่าง ๆ นานาออกไป เซ็งว่ะ เอาเปรียบผู้บริโภคชัด ๆ

วันนี้เราพักที่เมืองเฉิงตู ค่ำ ๆ หน่อยเราก็ไปดูโชว์เปลี่ยนหน้ากากที่ถนนวัฒนธรรมเจ๋งหลี่กัน ตอนแรกคิดว่าเป็นโรงละคร แต่เป็นลานโชว์ธรรมดา ๆ คนไทยเยอะเหมือนกัน ก็สนุกดี มีการแสดงหลายชุด จากชื่อที่ใคร ๆ พูดกันคิดว่าไฮไลท์ของการแสดงนี้คงเป็นการแสดงเปลี่ยนหน้ากาก เราดูก็งั้น ๆ ไม่เคยดู ได้ดูก็ดีอ่ะ

China Trip (ตอน 7)

จากนั้นเราก็จรลีไปยังอุทยานมู่เก๋าฉั้ว จากโปรแกรมบอกไว้ว่า เป็นสุดยอดอุทยานความงามที่ไม่เป็นรองใคร ไม่แพ้อุทยานระดับ 5 ดาว “จิ่วจ้ายโกว” ได้รับสมญานามว่า ดินแดนสวรรค์งามแห่งทะเลสาบพื้นพิภพ เป็นอุทยานที่มีชื่อเสียงของเมืองคังติ้ง เป็นทะเลสาบ 7 สี มีความงามเหนือพรรณา

ระหว่างเดินทางผ่านภูเขามากมายหลายลูก สวย ๆ กันทั้งนั้น เพราะมีใบไม้ผลัดใบ เป็นสีเหลือง น้ำตาล ทอง สลับกันไป สวยจริง ๆ มองแล้วเพลินเหลือเกิน แล้วภูเขาก็ไม่ค่อยมีรอยถลอกจากการกระทำของมนุษย์นัก


การขึ้นอุทยานของที่นี่ เช่นกัน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถของอุทยาน ซึ่งก็ลักษณะคล้าย ๆ มินิมัสบ้านเรานั่นแหละ มีการจอดรับระหว่างทางด้วย

ในช่วงที่เปลี่ยนรถนั้น พวกเราที่ปวดฉี่ก็พากันไปเข้าห้องน้ำ ก็ปรากฎว่าห้องน้ำที่นี่โสโครกกว่าที่อื่นที่ผ่านมา มันก็เป็นห้องน้ำปกติของเมืองจีนนั่นแหละ คือ เป็นร่องยาว ให้ทำธุระ แล้วก็มีคอกกั้นกันอุจาดตานิดนึง ไม่มีประตู ปกติแล้วถ้าห้องน้ำที่เป็นลักษณะร่องอย่างนี้ มันจะมีน้ำพัดพวกของเสียลงท่อหรืออะไรก็ตามออกไปบ้าง ไม่ให้มันค้างเติ่ง ตำตาตำใจ แต่ที่นี่ น้ำไม่พอ ก็ไม่น่าจะใช่ เอ...หรือว่าระบบการไหลของน้ำเสีย แต่ก็ช่างมันเถอะ รู้แต่ว่าไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่คนเราปล่อยทิ้งไว้ ไม่รู้ว่าตั้งกะเมื่อไร ตั้งแต่เช้า หรือวันไหน มันกอง ๆ กันอยู่ กลิ่นก็สุด ๆ ก็ได้แต่...โอ้ว มายก้อด เอาวะ มองผ่าน ๆ ไป ทำธุระตัวเองให้เสร็จไปซะ เฮ้อ...เมื่อไหร่เรื่องห้องน้ำจะพัฒนาเสียทีนะ ประเทศนี้

แล้วเราก็พากันขึ้นรถอุทยานไปดูของสวย ๆ งาม ๆ กัน แหม...มันช่างงดงามเสียนี่กระไร คือ ทะเลสาบนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่เต็มไปหมด แถมภูเขาก็เต็มไปด้วยใบไม้ผลัดสีอีก งามจริง ๆ แต่...ไม่ได้งามเหมือนกับที่โฆษณาไว้ขนาดนั้น หรือว่าเรามาไม่ตรงวันก็ไม่รู้ แต่ยังไงก็งามน่ะนะ ในระดับหนึ่งน่ะ

วันนี้เราไปพักกันที่เมืองคังติ้ง เป็นเมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง ไกด์บอกว่าแม่น้ำสกปรกขึ้นมาก น้ำไหลแรงมาก คิดว่าถ้าเราตกลงไป คงหาร่างไม่เจอเป็นแน่แท้

วันนี้เป็นวันโปรดอีกหนึ่งวัน ที่รู้สึกว่าเจอของสวย ๆ งาม ๆ แต่ก็ไม่น่ามาเจอห้องน้ำแบบนั้นเลย ก็คิดว่า...ไม่มีอะไรมันจะเพอร์เฟคไม่ทั้งหมดหรอกเนอะ มันต้องมีไม่ดีบ้าง เข้าใจค่ะ เข้าใจ

China Trip (ตอน 6)

21 ตค. 52 ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นเสียหน่อย ตามโปรแกรมเค้าว่าไว้ว่า ชื่นชมความงามของแสงอาทิตย์รุ่งอรุณแห่งวัน ซึ่งสะท้อนกับฉากหลังที่เป็นภูเขาการ์เซียน้ำแข็ง สวยดี เพราะที่บ้านเรามันไม่มีนั่นเอง

จากนั้นพวกเราก็นั่งรถบัสขึ้นไปกันอีก แล้วก็ขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขาการ์เซียน้ำแข็ง ระหว่างทางนั้นกระเช้าของเราเกิดความโกลาหลอลหม่านเสียเหลือเกิน ด้วยความที่มีตากล้องอยู่มากมาย ต่างพยายามหามุมกล้องอันสวยงาม เนื่องจากทิวทัศน์อันสวยงามวิจิตรบรรจง ตากล้องทั้งหลายแหล่จึงต้องการภาพอันสวยงาม ด้วยการขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไปมุมต่าง ๆ ในกระเช้า ซึ่งใช่ว่าจะกว้างขวางอะไรมากมายนัก ก็สนุกดี ถ้ามีกระเช้าตรงกันข้ามผ่านไป คงตกใจว่าทำไมกระเช้านั่นผู้คนมันถึงอลหม่านขนาดนั้น

ระหว่างทางในกระเช้า วิวทิวทัศน์ก็ว่าสวยงามแล้ว ยิ่งขึ้นไปถึงยอด ถึงจุดชมวิว ยิ่งงามขนาด งามมากมาย สวยกว่าที่เราเห็นในทีวีอย่างมากมาย เกิดมาไม่เคยเห็นทิวทัศน์ที่งามขนาดนี้มาก่อน ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง หมอก แสงแดดอ่อน ๆ เฮ้อ...สุดบรรยาย ต้องมาเห็นเอง แล้วจะรู้ว่ายังมีอะไรอีกมากมายนักในโลกใบนี้

ที่นี่ เราเห็นว่ามีคนรับจ้างหามเกี้ยวให้นักท่องเที่ยวได้ไปยังจุดชมวิวต่าง ๆ เนื่องจากว่าอาจจะเดินไม่ไหว กลัวลื่น อะไรทำนองนี้ ไกด์เล่าให้ฟังว่า ไอ้เจ้าพวกนี้น่ะ จะราดน้ำบนพื้น ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำแข็งบาง ๆ ทำให้ง่ายต่อการลื่นล้ม นักท่องเที่ยวจะได้จ้างพวกมันให้แบกไป ไกด์แนะว่าเดินให้ระวังด้วยแล้วกัน

ที่นี่อุณหภูมิประมาณ 4 องศา สูงกว่าที่วัดหัวจ้าง เล็กน้อย ก็เลยรู้สึกว่าหนาวแบบจิ๊บ ๆ

China Trip (ตอน 5)

20 ตค. 52 จากโปรแกรมทัวร์ วันนี้เราจะไปไห่หลัวโกว กัน ซึ่งจะลอดผ่านอุโมงค์เอ้อร์หลังซาน จากคำบอกเล่าของไกด์ (ถ้าจำมาไม่ผิด ถ้าผิดก็ขออภัย) อุโมงค์นี้จะทะลุภูเขาอินหยัง (หยินหยาง- ซึ่งประมาณว่าเป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน เช่น ร้อน-เย็น) ไกด์แกก็คงพูดเวอร์ไปบ้าง ประมาณว่าถ้าก่อนลอดอุโมง อากาศครึ้ม ผ่านอุโมงค์ไปแล้วอาจจะเจอหิมะ ฝนตก ทำนองนี้ เราก็...โม้ว่ะ ไม่เชื่อหรอก

ความจริงก็ปรากฎว่าก่อนลอดอุโมงค์นั้นอากาศก็ครึ้ม ๆ มัว ๆ อยู่บ้าง พอผ่านอุโมงค์แล้วอากาศก็สดใส มีแดด ก็..ไม่เห็นต่างกันเท่าไร ว่ากันว่าอุโมงค์นี้ยาวที่สุดในประเทศจีน ความยาว 4,175 เมตรทีเดียวเชียว

ตามโปรแกรมแล้ว ช่วงบ่ายเราได้ไปเที่ยวธารน้ำแข็งกัน แต่ก็...ไม่ได้ขึ้น เนื่องด้วยพวกเราเลทนั่นเอง ก็ไกด์บอกว่าวันนี้สบาย ๆ แล้วก็ไม่ได้เร่งพวกเราอะไรหนักหนา พอมาถึงเชิงเขากลับไม่มีรถขึ้นอุทยาน ต้องรออีกประมาณ 2 ชม. ก็เตร็ดเตร่กันไป ถ่ายรูปกันไป

หลังจากขึ้นเขาได้สำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว อากาศบนที่พักหนาวโคตร ๆ แถมฝนยังตกพรำ ๆ กันอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมฟ้าดินถึงกลั่นแกล้งคนเมืองร้อนอย่างเรากันด้วย ก็เลยต้องแต่งตัวได้หนาปั่กกันทั่วทุกคน

ที่นอนคืนนี้มีผ้าห่มไฟฟ้าให้ใช้กันด้วย ไอ้เราก็นึกว่า มันเป็นผ้าห่มที่เสียบปลั๊กไฟ เห็นภาพเป็นงั้น แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นแผ่นบาง ๆ วางอยู่กลาง ๆ ที่นอนซึ่งมีผ้าปูทับอีกที เสี่ยบปลั๊ก ไอ้เจ้าแผ่นนี้ก็จะอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ

ตื่นมากลางดึก จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอากาศมันร้อนระห่ำได้ใจอย่างมากมาย ตอนแรกนึกว่าอากาศมันแปรปรวน มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ หรือว่าเราอาจจะคิดไปเอง นอนยังไงก็ไม่หลับสักทีเพราะมันร้อนจนตับแทบแตก ก็เลยลุกไปเข้าห้องน้ำ สักพักจึงได้รู้สึกว่าอากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ถึงได้เข้าใจว่าไอ้เจ้าผ้าห่มนี่ มันทำให้อุ่นจนร้อนขึ้นนั่นเอง ร้อนจริง ๆ นะ ร้อนมากมาย

คืนนี้...คิดว่าทุกคนในกลุ่มทัวร์คงจะไม่ได้อาบน้ำกันเป็นแน่ เพราะโคตรหนาวเสียขนาดนั้น

China Trip (ตอน 4)

จากนั้นก็ไปยังวัดหัวจ้าง ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดพระโพธิสัตว์ผู่เสียน มีความสูงกว่า 41 เมตร สร้างด้วยทองสำริดทั้งองค์ เป็นองค์ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มี 10 พระพักตร์ประดิษฐานอยู่บนหลังช้าง 4 เศียร

ขอบอกว่าเราไม่มีบุญที่ได้เห็นเต็มองค์ เพราะหมอกมากมายมหาศาล แถมฝนยังตกพรำ ๆ อากาศทั้งหนาว ทั้งชื้น อุณหภูมิประมาณ 2 องศา หนาวได้มากมายก่ายกอง หนาวที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

ช่วงที่กำลังรอขึ้นกระเช้า (ลงเขา) ความที่อากาศมันหนาวอ่ะนะ ปวดฉี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ก็แวะห้องน้ำเสียหน่อย ปรากฎว่าสาวจีน รุ่นเอ๊าะ ๆ เธอเข้าห้องน้ำโดยที่ไม่ปิดประตูเล้ย เป็นสาวเป็นนางแท้ ๆ ด้วยความเป็นสาวไทยรูปร่างหน้าตาบอบบาง มีความรู้สึกละอายแทน จึงได้แต่จรลีจากห้องน้ำนั้นมาทั้ง ๆ ที่ปวดชิ้งฉ่องสุดฤทธิ์

จากนั้นเราก็ต้องนั่งรถปุเลง ๆ ไปวัดเป้ากั่ว (วัดตอบแทนคุณประเทศ) ไอ้ตอนที่เรานั่งรถไปน่ะ เราก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ไกด์เล่าอะไรให้ฟังก็ไม่เคยได้ฟัง จะตื่นมาอีกทีที่รถจอดให้เข้าห้องน้ำ พอเราทำธุระเสร็จเรียบร้อย คนในคณะก็คุยกันถึงเรื่องที่ไกด์เล่าไม่ว่าจะเป็นบูเช็คเทียน เตียวเสี้ยน ซึ่งเราก็งง ทำไมเราไม่เคยได้ยินเลยฟะ แถมมีเรื่องเหมาเจ๋อตุงอีก ก็ไม่เคยได้ฟังเลย นั่นแสดงว่า ตรูหลับมาตลอดทางจริง ๆ เหมือนกับเกิดมาไม่เคยได้นอนยังไงยังงั้น

ถึงวัดเป้ากั่ว ส่วนตัวเป็นวัดที่ชอบมาก เพราะมันดูเก่า ดูขลังดี เหมือนกับที่เราได้ดูได้เห็นในหนังจีนกำลังภายใน งามจริง ๆ ชอบมากมาย

วันนี้เราต้องไปพักที่เมืองหย่าอัน ระหว่างทางนั่ง ๆ นอน ๆ มองดูรถที่สัญจรกันไปมา ก็เห็นรถโฟล์ค PASSAT กันขวักไขว่ ก็คิดว่าคนจีนรวยกันเยอะว่ะ แต่จากที่ไกด์บอก ปรากฎว่ารถรุ่นนี้ผลิตที่ประเทศจีนนี่เอง ราคามันก็เลยต่ำหน่อย ประมาณห้าแสนกว่าบาท แต่คนที่จะมีรถใช้ได้ก็เป็นคนที่ต้องมีเงินเหมือนกันเพราะภาษีที่นี่แพงมาก

คืนนี้เราต้องเตรียมเสื้อผ้าไว้อีกกระเป๋าหนึ่งด้วย เพราะพรุ่งนี้เราจะไปพักที่บริเวณธารน้ำแข็งกัน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่นั้นไว้บนรถบัสด้านล่างเขา เพราะเราต้องนั่งรถของอุทยานขึ้นไป เอารถบัสขึ้นไปไม่ได้

China Trip (ตอน 3)

19 ตค. 52 วันนี้ไกด์บอกว่าหนาวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ก็เอาวะ เอาเสื้อกันหนาวที่ยืมมาใส่เสียหน่อย มันมีฮู้ดที่มีขน ๆ ด้วย เกิดมาไม่เคยใส่เสื้อผ้าประเภทนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาฮู้ดออก แต่มันกลับมีประโยชน์ตอนที่ลมเย็น ๆ มาปะทะแก้มตอบ ๆ ของเรา ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เสื้อกันหนาวประเภทแฟชั่นเท่านั้น มันมีประโยชน์แฝงอยู่ในตัวด้วยเหมือนกัน

วันนี้เราต้องขึ้นเขาง้อไบ้ (เอ๋อเหมยซาน) ที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักสำนักง้อไบ้จากหนังจีนกำลังภายในนั่นแหละ มันเป็นสำนักชีที่อยู่บริเวณด้านล่างเขานั่นเอง อันนี้อ้างอิงมาจากคำพูดของไกด์ ถ้าผิดก็ไม่ใช่ความผิดเรา ยกความผิดไกด์แต่เพียงผู้เดียว ช่างเป็นคนดีเสียจริง ๆ

จากโปรแกรมการเดินทางบอกไว้ว่า เอ๋อเหมย แปลว่า คิ้วโก่ง เพราะทิวเขามีลักษณะเหมือนคิ้วนักพรตในลัทธิเต๋า เข้ามาสร้างศาลเจ้าในเทือกเขาแห่งนี้ในศตวรรษที่ 2

แล้วเราก็นั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดทองคำ (เขาจินติ่ง) ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,077 เมตร

ตอนที่ไกด์บอกว่ากระเช้าเนี่ยะนะ มันจุได้หลายสิบคน เราก็นึกว่ามันคงจะใหญ่เบ้อเร่อเฮิ่ม เพราะปกติเท่าที่ที่เห็นกระเช้าลอยฟ้ามาบ้าง อะไรบ้าง มันจะยืนหรือนั่งกันได้สบาย ๆ แต่ที่นี่ไม่ใช่ค่ะ มันเป็นกระเช้าประมาณรถมินินัส แล้วคนก็เบียด ๆ กันเข้าไป แย่งกันเข้า แย่งกันออก ดีที่ไกด์แนะไว้ว่าถ้าเข้าไป ให้รีบไปที่มุมด้านใดด้านหนึ่งเลย จะได้ไม่ถูกเบียดมาก ก็เลยค่อยยังชั่ว ขาออกก็แย่งกันออกอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน

China Trip (ตอน 2)

ที่แรกที่เราไปก็คือเมืองเล่อซาน จากโปรแกรมการเดินทางบอกไว้ว่า เมืองนี้มีอายุกว่าหนึ่งพันสามร้อยปี ตั้งอยู่บนแม่น้ำ 3 สาย นั่นก็คือแม่น้ำชิงหยี แม่น้ำหมิน และแม่น้ำตู้ ต้องขึ้นเรือเพื่อไปชม “พระพุทธรูปเล่าซาน” หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า หลวงพ่อโต

จากวิกิพีเดีย บอกไว้ว่า พระพุทธรูปเล่อซาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเขาเล่อซาน เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับ เขาเอ๋อเหมย เมื่อปี พ.ศ. 2539

พระพุทธรูปเล่อซาน มีความสูงกว่า ๗๐ เมตร ไหล่กว้างกว่า ๒๐ เมตร พระเศียรสูงเท่าภูเขา พระบาทวางอยู่ริมแม่น้ำ พระหัตถ์วางบนเข่า พระพักตร์อิ่มเอิบสงบ

พระพุทธรูปเล่อซานเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยราชวงค์ถัง คือคริสต์ศักราช ๗๐๐ กว่าปี เริ่มต้นโดยมีพระชื่อไห่ทงเดินทางมาถึงเสฉวน และพบว่าเขาเล่อซานตั้งอยู่บนทางผ่านของแม่น้ำสามสาย จึงมักเกิดอุบัติเหตเรือล่มทำให้มีผู้คนเสียชีวิตบ่อยๆ พระไห่ทงจึงตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นตรงจุดนี้เพื่อให้พระคุ้มครองแก่ผู้เดินทาง ต่อมา มีชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาใช้ความพยายามและใช้เวลาอีก ๙๐ ปี สร้างพระพุทธรูปองค์นี้จนสำเร็จ พุทธศาสนิกชนจากท้องที่ต่างๆพากันมานมัสการเพื่อความสงบสุขแห่งจิตใจ

พวกเราลงเรือ ขึ้นดาดฟ้าเพื่อชมพระพุทธรูป พากันถ่ายรูปพรึ่บพรั่บ แต่ ณ ที่ดาดฟ้าเรือแห่งนี้ มีรั้วกันไว้ส่วนหนึ่ง ประมาณว่า...เป็นที่หากินสำหรับคนที่หากินกับการถ่ายภาพคนมีเงิน กับมุมสวยของพระพุทธรูปองค์นี้เอง


หลังจากเที่ยวชมการเรียบร้อยแล้ว สมควรแก่เวลาพวกเราก็พากันกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน ไม่งั้นจะเป็นหมีแพนด้าไปเสียก่อน

China Trip (ตอน 1)

สืบเนื่องจากอยากเที่ยวอย่างมากมาย พอมีคนมาชวนไปเที่ยวจีน ยังไม่ถามว่าไปที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ตกลงปลงใจไปด้วยทันที เป็นคนใจง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ

จากกำหนดการเดินทางแล้วจึงรู้ว่าตัวเองจะได้ไปที่อุทยานมู่เก๋อฉัว ทะเลสาบ 7 สี ไห่หลัวโกว-สวรรค์ธารน้ำแข็ง และเสริมบารมีกับพระโพธิสัตว์ผู่เสียน ทองคำ 10 เศียร อ่านกำหนดการเดินทางคร่าว ๆ จะจำได้ก็แต่เฉิงตู ภูเขาง๊อไบ๊ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ได้ยินบ่อย พอมีคนมาถามว่าไปไหนบ้าง ก็จะตอบได้แค่ว่าเฉิงตู ง๊อไบ๊ อย่างอื่นจำไม่ได้ อย่ามาถาม

แล้วก็ถึงวันเดินทาง วันที่ 17 ตค. 52 หัวหน้าคณะทัวร์นัดพร้อมกันที่สุวรรณภูมิตอนเที่ยงคืน มันก็คือวันที่ 18 นั่นแหละ แต่มันช่าง โอ้...แม่เจ้า ทำไมมันต้องบินดึกดื่นค่อนคืนขนาดนั้น ไอ้เรารึก็พยายามอย่างยิ่งที่จะนอนช่วงกลางวันเก็บแรงไว้ เพราะกลัวจะไม่มีแรงเที่ยวหลังจากลงเครื่องบิน พอตั้งใจจะนอนมันก็ไม่หลับ ก็ช่างมัน แต่ดีนะ ได้ดูมูยุลตอนจบ แม้มันจะไม่ประทับใจเท่าไรก็ตาม เอ๊ะ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเนี่ยะ

คณะทัวร์มีด้วยกัน 23 คน แต่เรารู้จักกับพี่ ๆ อีก 3 คน ก็ไม่เป็นไรเพราะเดี๋ยวมันก็ไปคุยไปรู้จักกันเองแหละ คนเรามันก็ต้องเปิดหูเปิดตากันบ้าง อะไรกันบ้าง

เราต้องนั่งเครื่องไปลงที่เซินเจิ้นก่อน ซึ่งก็โคตรดีเลย์ ก็เอาวะ...ทำไงได้ ก็ทนกันไป พอถึงเซินเจิ้น เราก็ต้องต่อเครื่องไปลงที่เฉิงตูต่ออีก เพราะเครื่องที่มันดีเลย์มาตั้งกะแรก มันก็ต้องดีเลย์กันไปอีก ดีเลย์กันมันส์ไปเลย

ขึ้นรถบัสได้ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ เป็นการเที่ยวที่แบบว่า...ตกลงว่าจะมานอนหรือมาเที่ยวกันแน่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

Sunday, October 4, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 10)

ข้ามมาวีคสุดท้ายเลยแล้วกัน เนื่องจากวีค 10 และ 11 นี้ไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไร อย่างว่าคนโปรดไม่อยู่ ดูแค่คลาสครูใหญ่ ซ้อมใหญ่ และคอนเสิร์ตจริงเท่านั้น

วันอาทิตย์มีปาร์ตี้ พยายามดูว่าจะมีเซอร์ไพรซ์อะไรอีกมั้ย ก็เอ่อ...มีอีกอ่ะ มีการนำเอาเด็กที่ออกจากบ้านทั้งแปดคนเข้ามาบ้าน เป็นของขวัญให้เด็กสี่คนที่อยู่ได้มาจนถึงวีคสุดท้าย ส่วนเจ้าอ๊อฟ ตัดผมอีกแล้ว แต่คราวนี้ดูใสกิ๊ง ดูเด็กขึ้นเยอะเลย น่ารักดี

แถมยังมีการให้เด็กนอกบ้านได้เข้ามาอาศัยนอนหลับพักผ่อน ดื่มกิน เล่าเรียนหนังสือหนังหา ในบ้านได้เหมือนกัน แต่...ก็มีการบ้านให้เด็ก ๆ นอกบ้านได้ทำด้วยก็คือ นำเอาเพลงของ “เฉลียง” มาร้อยเรียงในเวลาประมาณ 6 นาที ให้เด็ก ๆ เลือกเพลงเอาเอง ไม่พอ...ยังมีการให้เด็กนอกบ้านแต่งเพลงรุ่นอีกต่างหาก ทำให้ได้เห็นศักยภาพของเจ้าแท๊บบี้ที่แต่งเพลงได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ถึงแม้ว่าจะไม่จบก็ตาม ปรบมือดัง ๆ ให้แท๊บบี้ด้วยจ้ะ

แต่..การบ้านของเด็กนอกบ้านนั้น ต้องปกปิดไว้ไม่ให้เด็กในบ้านรู้เห็น ฉะนั้นเด็กทั้งแปดคนก็เลยต้องไปฝึกซ้อมที่พลาซ่าอันเป็นสถานที่รักของเหล่าเด็กนอกบ้านอีกครั้งหนึ่ง

วีคนี้ก็เลยได้เห็นเจ้าอ๊อฟเล่าเรียนแอคติ้ง แดนซ์ ร้อง อีกครั้งหนึ่ง ชอบเจ้านี่ร่ำเรียนเหลือเกิน มันดูตั้งใจดีมาก ๆ แล้วสิ่งที่แสดงออกมามันก็เลยดูดี ดูเจ๋ง

ดูจากซ้อมใหญ่แล้วเด็กสี่คนในบ้าน เตรียมเพลง ร้องเพลงได้ดีมากทุกคน ด้วยความสัตย์จริง เพราะว่าต่างคนต่างเลือกเพลงที่ชอบ มันก็เลยทำได้เต็มที่

คอนเสิร์ตคราวนี้เลยเป็นโชว์ที่ดีมาก ๆ ทุกคนร้องได้เจ๋งมาก รางวงรางวัลที่จำหน่ายจ่ายแจกก็เป็นที่สมควรแล้ว แถมเจ้าซานิยังได้เป็นนักล่าฝันหญิงคนแรกใน AF อีก เก่งมากเลยน้อง


** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

Friday, October 2, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 9)

วีคแปด ในคอนเสิร์ตอาต้อย เศรษฐา ประกาศว่าวันอาทิตย์ 2 ทุ่มจะมีการแจกโจทย์ ซึ่งปกติแล้วอาต้อยไม่เคยประกาศเลย ก็สงสัย คิดว่า...ต้องเอาเด็กที่ออกกลับเข้ามาแน่เลย เพราะมัน 6 คนพอดี ร้องเพลงคู่แน่เลย แต่ผู้หญิงมี 7 คน ผู้ชาย 5 คน แล้วมันจะจับคู่กันยังไงล่ะ

2 ทุ่มวันอาทิตย์ มีการแจกโจทย์เพลง Featuring ให้เด็ก ๆ เลือกคนที่จะมา Feat. ด้วยต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็เอาเจ้า 6 คนเข้ามา feat. ทำเอาเด็ก ๆ กับคนดูเซอร์ไพรส์กันไป ไอ้เราก็คิดมันคงมันส์กันล่ะงานนี้ เด็กสิบสองคนกลับมาอยู่บ้านเดียวกัน คงยิ่งสนุกกว่าวีคแรกน่ะเนอะ

ปรากฎว่าเด็กที่ออกไปแล้ว ต้องออกไปอาศัยหลับนอนนอกบ้าน นั่นก็คือที่พลาซ่านั่นเอง ไม่ได้เรียนอะไรทั้งสิ้น ห้ามเข้าบ้านอีกต่างหาก คนในบ้านก็ห้ามออกนอกบ้าน จะคุยจะซ้อมกันก็ผ่านกระจกที่คั่นระหว่างตัวบ้านกับนอกบ้านเท่านั้น อะไรมันจะโหดขนาดนั้นหนอ
เจ้าอ๊อฟของเรามาคราวนี้ตัดผมซะหล่อเฟี้ยว หน้าใสกิ๊ง ได้เพลง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” ร้องคู่กับเจ้านิ อีกเพลง “อย่าทำให้ฉันรักเธอ” ร้องกับเจ้านุกนิก อู้ว์...ยากอีกแล้ว แต่เป็นการมาช่วยเพื่อนร้อง คงไม่กดดันเท่าไหร่ เจ้าอ๊อฟมันก็คึกคักสุดฤทธิ์ ตลกดี วีคนี้กระแสนิชาญแรงสุด ๆ น่ารักน่าลุ้นซะไม่มี

ทีมงานในวีคนี้ครีเอทกันมาก มีการเรียกนักล่าฝันทั้งสองฝั่ง แปะมือกันผ่านกระจก เปิดเพลง “ช่วงที่ดีที่สุด” บิวด์นักล่าฝันซะจนร้องไห้กันสุดฤทธิ์ เลยได้เห็นเจ้าอ๊อฟบอกรักเจ้าที “กูรักมรึงว่ะ” อู้ย...แมนได้ใจอีกแล้วน้องเอ๋ย ต่างคนต่างตาแดง ร้องไห้สะอึกสะอื้น คนดูก็ร้องไห้ตาม มันรักกันดีจริง ๆ นับถือทีมงานจริง ๆ ช่างครีเอทกันนัก

แถมวีคซ้อมใหญ่ ยังมีการแยกห้องซ้อมน้องนอกบ้าน ในบ้าน ให้อยู่คนละห้องอีกต่างหาก เปิดเพลง แล้วตัดภาพเป็นสองจอติดกัน ซ้อมร้องกันไป แหม...นับถือทีมงานวีคนี้จริง ๆ สร้างสรรค์เสียเหลือเกิน คนดูได้แต่อึ้ง เอ่อ...คิดกันได้เนาะ

พอถึงวันเสาร์ น้อง ๆ ก็ได้เจอกันเฉพาะตอนรันทรูเท่านั้น บล็อกก้งบล็อกกิ้งก็งที่เตรียมมาก็ต้องทำให้เสร็จช่วงนั้น เฮ้อ...ทำไมมันทรมานอย่างนี้หนอ ช่างเป็นเกมส์ที่น่าสนุกสำหรับคนดู แต่กับนักล่าฝันแล้ว นึกสงสารจริง ๆ

คอนเสิร์ตจริง ๆ เด็กนอกบ้านส่งให้เพื่อนทำโชว์ได้ดีมากจริง ๆ วีคนี้ดูทุกคนมีความสุขมากมาย กระแสนิชาญยิ่งทำให้มีความสุขเข้าไปใหญ่

เนื่องจาก NaaToy ก็อยู่ในกระแสนิชาญเหมือนกัน ก็เลยขอแปะ MV ของคุณหมาขาวใจดีสักหน่อย ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย MV นี้มันเกินคำบรรยายสำหรับวีคนี้จริง ๆ




ขอเพิ่ม MV ของคุณหมาขาวใจดีอีกเรื่อง แบบว่า...โดนกับเรื่องราวของวีคนี้อีกแล้ว ช๊อบ ชอบ อีกแล้ว ขอบคุณคุณหมาขาวใจดี๊ใจดีค่ะ

Thursday, October 1, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 8)

วีคนี้เป็นวีคที่บรรดาแม่ ๆ จะเลือกเพลงมาให้ลูก ๆ นักล่าฝันได้ร้องกัน ตอนที่เจ้าอ๊อฟได้เจอแม่ แสดงออกไม่เหมือนใครจริง ๆ กระโดดถาโถมใส่แม่ซะจนแม่แทบหายใจไม่ออก แม่เจ้าอ๊อฟยื่นเพลง “สัญญาเมื่อสายัณห์” ให้ลูกเลิฟร้อง ไอ้เราก็...อ๊อฟมีอะไรให้ลุ้นอีกแล้ววีคนี้ เพลงลูกทุ่งน่ะนะ ไม่หมูนะ เอื้อนแบบลูกทุ่งด้วย ได้เราก็ได้แต่ เฮ้อ...ยากอีกแล้ว

พอดีเสาร์นี้ได้ดูรันทรู เจ้าอ๊อฟร้องเพลงผิดท่อน โอ๊ะโอ๊ย...น้องเอ๊ย คอนเสิร์ตจะเป็นยังไงบ้างเนี่ยะ ชอบให้ตื่นเต้นลุ้นระทึกทุกเสาร์เลยนะน้อง

คอนเสิร์ตจริง น้องเราก็ปากเหวอีกแล้ว พร้อมกับเจ้านุกนิกกับเจ้านิวตี้ ก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้านิวตี้ได้แน่นอน แต่ระหว่างนุกนิกกับเจ้าอ๊อฟนี่ซิ ในใจก็ยังเข้าข้างเจ้าอ๊อฟอยู่ แต่คะแนนวีคนี้น้องเราก็ต่ำเสียเหลือเกิน ก็กลัวใจจริงอ่ะ

ผลออกมา น้องเราก็ต้องออกจากบ้าน เอ่อ...น้ำตาคลอเฉยเลย คือเสียดายโอกาส อยากให้น้องได้เรียน พัฒนาตัวเองมากขึ้นกว่านี้เยอะ ๆ วันนั้นกว่าจะนอนหลับก็ตั้งตีสาม มาคิดว่าทำไมฉันต้องอินกับเจ้าอ๊อฟขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะเราติดตามเจ้านี่มาตลอด แล้วเห็นถึงความตั้งใจ พัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้เสียดายอย่างมากมายที่น้องต้องออกจากบ้าน แต่เกมส์ก็คือเกมส์ ก็พยายามเข้าใจน่ะนะ

วีคต่อมา ติดตามดูเฉพาะคลาสครูใหญ่ ซ้อมใหญ่ และคอนเสิร์ตวันเสาร์เท่านั้น ก็มันไม่สนุกแล้วนี่นา ไม่มีคนที่เราคอยเชียร์ คอยลุ้น คอยดูพัฒนาการในคลาสต่าง ๆ เซ็งจิตสุดฤทธิ์

** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

Wednesday, September 30, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 7)

วีคนี้โชว์พาวเวอร์ ได้ยินแค่คำว่า “โชว์พาว” เท่านั้น ก็นึกเห็นใจเจ้าอ๊อฟอีกแล้ว ก็นะ...เสียงไม่แข็งแรงที่จะโชว์ได้ขนาดนั้น หนักใจจริง แล้วยิ่งต้องทำเพลงกันเอง คิดโชว์เอง เพราะวีคนี้ถือเป็นการสอบมิดเทอม ต้องคิดโชว์เองจากการที่เรียนกับครู ๆ มาแล้วถึงห้าวีคด้วยกัน ครูจะเข้าอีกก็วันพฤหัสฯ ช่วงซ้อมใหญ่ และจะมาแก้ปัญหาต่าง ๆ นา ๆ ในวันศุกร์ แล้วมันจะทันการณ์มั้ยเนี่ยะ

เจ้าอ๊อฟได้เพลง “แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ” อู้ย...ได้ยินแล้วหนาวจริง ๆ อ๊อฟเอ๊ย...จะทำได้มั้ยเนี่ยะ

วีคนี้เจ้านี่ค่อนข้างมีอะไรกุ๊กกิ๊ก ๆ เยอะอยู่เหมือนกัน ประมาณว่า...แมวไม่อยู่ หนูคงร่าเริง (ล่ะมั้ง) ก็เอ่อ...น่ารักดี ไม่เคยเจอมุมอะไรอย่างนี้จากเจ้านี่มาก่อน แต่ก็มีคิด (ดัง ๆ) ว่า เฮ้ย...ตั้งใจหน่อยซิวะ ลุ้นอยู่นะ กลัวเอ็งตกรอบนะเว้ย

ก็เลยนึกถึงเอเอฟสองที่ต้องลุ้นเจ้าเปรี้ยวอยู่ทุกวีค ยิ่งวีคที่เจ้าเปรี้ยวต้องร้องเพลง “พี่ชายที่แสนดี” เพลงนั้นก็โชว์พาวสุด ๆ เหมือนกัน แล้ว...สองคนนี้มันก็วีสองเหมือนกันอีก แหม...บังเอิญจริง ๆ ที่ต้องมาลุ้นวีนี้อีก

และด้วยวีคนี้ก็เลยทำให้ชอบเพลง “ส่งต่อความรัก” เพิ่มขึ้นอีกเพลง ด้วยความที่ได้ยินเพลงนี้กรอกหูอยู่บ่อย ๆ ความหมายก็ดี น้อง ๆ ตั้งใจร้องกันดีเหลือเกิน เพลงนี้ก็กลายเป็นเพลงโปรดไปโดยปริยาย

วันเสาร์อีกแล้ว ขึ้นคอนเสิร์ตแล้ว ส่วนตัวแล้ว NaaToy ก็ว่าเจ้านี่ร้องงั้น ๆ นะ แต่ Commentator ชมว่าร้องได้ดี ก็ดีใจกับเจ้านี่ด้วย ในที่สุดก็ทำให้กรรมการชมได้แล้ว เย้....

แล้วก็ปากเหวเช่นเคย คิดเอาไว้อยู่เหมือนกัน ก็คือถ้าวีคนี้รอด วีคต่อไปก็ปากเหวอีกแน่นอน เพราะคะแนนระหว่างสัปดาห์ค่อนข้างจะต่ำอย่างมากมาย ก็ลุ้นอีกแล้วงานนี้

ผู้ร่วมชะตากรรมปากเหว มีเจ้าซานิกับนุ๊กนิ๊ก NaaToy ก็เฮ้ย...ไปสู้อะไรกับสองคนนั้นได้วะ นุ๊กนิ๊กได้ตุ๊กตาแน่เพราะเพลงมันส่ง ก็เป็นจริงตามคิด คราวนี้ก็มาลุ้น (ประมาณใจเอนเอียง) ก็คิดว่านุ๊กนิ๊กคงคะแนนต่ำมั้ง เพราะว่ายืนปากเหวมาตั้งหลายครั้งแน่นี่ ลุ้นสุดชีวิตจริง ๆ และแล้ว...อีตาอ๊อฟก็รอด โล่งอกเสียเหลือเกิน

อีกอย่างที่ประทับใจในคอนฯนี้ก็คือช่วงที่เพลงธีมจบคอนฯ ไอ้เจ้าอ๊อฟร้องผิดท่อนเฉยเลย แล้วเจ้าแม็คก็ช่วยเพื่อนร้องเพลงท่อนเพื่อนให้ มั่วกันหมด ไอ้เจ้าอ๊อฟเขินก็เดินเตลิดเปิดเปิงกันไป มันก็เอ่อ...น่ารักดีอ่ะ แบบว่ามันคงดีใจที่ไม่มีคนออกบวกกับเขินที่ตัวเองร้องผิด ก็เลยรั่วกันไปเลยทีเดียว ก็ตลกดี น่ารักดี ไปอีกแบบ

แล้ววันอาทิตย์ดูรีรันพร้อมบรรดาครู ๆ คุณครูชมอ๊อฟเกือบทุกอย่างบนเวที ไอ้เราก็ยิ้มหน้าบานพอ ๆ กันเจ้าอ๊อฟเหมือนกัน ดีใจแทนมัน

** ขอบคุณภาพงาม เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 6)

เป็นวีคที่ NaaToy ประทับจิตประทับใจเจ้าอ๊อฟที่สุด ก็เพราะว่าเจ้าอ๊อฟเต้นได้เจ๋งที่สุด เต้นได้แข็งแรงโคตร ๆ เหมือนเห็นเด็กข้างบ้านมันพัฒนาวัน พัฒนาคืน ประมาณว่า...ภูมิใจแทนพ่อแม่ด้วย ทำนองนั้น

วีคนี้เป็นเพลงแดนซ์ เจ้าอ๊อฟได้เพลง “It’s raining men” โอ้...แม่เจ้า เจ้าอ๊อฟต้องเต้นอีกแล้ว แค่ดูตอนซ้อมก็ยังทำได้ดี พัฒนาการด้านเต้นเจ้านี่สุดยอดจริง ๆ เต้นแข็งแรงกว่าวีคเอ็มเจเยอะเลย จากที่เต้นไม่ค่อยเป็น แล้วเต้นได้ถึงขนาดนี้ หูย...นับถือ ๆ วีคนี้เองที่ NaaToy เริ่มจับตามองเจ้าอ๊อฟ แทบจะละสายตาไม่ได้เลยทีเดียว ชอบในความพยายาม ตั้งใจ อย่างมากมาย ผลงานที่ได้มันก็เลยออกมาดูดี พอเจ้านี่เต้นเสร็จ ก็ได้แต่อู๊ย...เจ๋งอ่ะ เก่งวู้ย เท่ห์ชิบเป๋งเลยอ่ะ

เอ่อ...แล้วเรื่องร้องล่ะ เป็นยังไง กลั๊วกลัวเหมือนวีคเอ็มเจจังเลย

พอถึงวันเสาร์ ขึ้นคอนเสิร์ตจริง ดูจากคะแนนในบ้านก็เสียว ๆ อยู่เหมือนกันว่า เจ้าอ๊อฟจะปิ๋วมั้ยเนี่ยะ ตอนดูโชว์เจ้านี่ มันก็เต้นได้เจ๋งเด็ดมาก เรื่องร้องก็ดีขึ้นเยอะ แต่...ก็ต้องเพิ่มอีกเยอะเหมือนกัน สรุปแล้วชอบโชว์ของเจ้านี่ในวีคนี้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องร้อง เรื่องเต้น เอนเตอร์เทน มันได้หมดเลย ดูมันมีพลังเยอะดี ดูแข็งแรงดี

แต่...คุณอ๊อฟของเราก็ต้องมายืนปากเหวจนได้ NaaToy ก็ประมาณว่า...เฮ้ย อย่าเพิ่งตกรอบไปก่อนนะเว้ย ยังอยากเห็นแกเรียนดีขึ้นทุก ๆ คลาส แกกำลังมาแล้วนะ อย่าเพิ่งไป ประมาณนั้น เสียว ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะสามคนปากเหวเนี่ยะ นิวตี้ได้ตุ๊กตาชัวร์ มีลุ้นก็สองคนอิช์คกับอ๊อฟนี่แหละ ก็ปรากฎว่ารอด เฮ้อ...ดีใจแทนน้องฟ่ะ

** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

Sunday, September 27, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 5)

วีคนี้เป็นวีคเพลงร็อค เจ้าอ๊อฟได้เพลง “ไม่ต้องการเห็นบางคน (ที่ไม่รักกัน)” ของวง Zeal ร้องบ่อยครั้งเข้า เสียงก็เริ่มแหบ จริง ๆ มันก็เป็นกับเกือบทุกคน

สังเกตดูแล้วทั้ง acting และเต้น เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ พัฒนาดีมากเลยน้อง แต่วีคนี้ร้องไม่ค่อยดี เสียงไม่แข็งแรง แต่การแสดงดี มันขัดแย้งกับสิ่งที่นักร้องควรเป็น

พอถึงวันเสาร์ ลุ้นอยู่ว่าอ๊อฟจะยืนปากเหวหรือเปล่า เพราะความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง แต่วีคนี้อิชย์กลับต้องออกไปเฉยเลย ทั้ง ๆ ที่คะแนนได้บ้านสูงลิบลิ่ว เสียดายแทนน้องจริง ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นการร้อง เต้น แสดง น้องกำลังทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เสียดายโอกาสอย่างมากมาย ไม่สงสัยว่าทำไมเพื่อน ๆ หรือคนดูพากันร้องไห้กันเป็นทิวแถว

** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 4)

และแล้วสัปดาห์ที่สาม สัปดาห์เพลงเอ็มเจ สัปดาห์สุดหิน เจ้าอ๊อฟได้เพลง “Billie Jean” NaaToy ก็ประมาณว่า...โคตรยากเลย ทำได้รึเปล่าวะเนี่ยะ ร้องก็ยาก เต้นก็ยาก อ๊อฟเอ๊ย...เห็นใจจริง ๆ ว่ะ

แล้ววีคนี้ก็เห็นความตั้งใจ ความพยายาม ของเจ้านี่ ทั้งการร้อง การเต้น เจ้านี่ก็ประมาณว่าอินสุด ๆ เหมือนกัน ใส่หมวกทั้งวัน ว่างเมื่อไหร่ก็เต้น มีมูนวอร์คอีกต่างหาก แล้วมันก็พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แบบ...ไม่น่าเชื่อว่าจากที่เต้นไม่ค่อยเป็น จะเต้นได้ถึงขนาดนี้ ขอชมจากใจ เจ๋งจริง ๆ น้องเอ๋ย

ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ NaaToy นิยมชมชอบเจ้านี่อีกเยอะ ๆ เลย จริง ๆ ด้วยความใจสู้นี่แหละ

วันพฤหัส ครู ๆ ก็ชมถึงความตั้งใจของเจ้าอ๊อฟ รวมถึงการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อีก ดีใจแทนอ่ะ เหมือนเด็กข้างบ้านเรียนเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลยอ่ะ

เมื่อไม่กี่วันมานี้ได้คลิปของป๋าวิทย์ (AF1) สุดยอดของสุดยอดนักล่าฝัน เพลง “Billie Jean” เหมือนกัน (ใน AF1 FriendShip Concert) ป๋าทั้งร้อง ทั้งเต้น ได้เจ๋งเด็ด เปรียบเทียบกับเจ้าอ๊อฟแล้ว เสมือนกับเด็กมหาลัย กับเด็กประถม เพราะป๋าวิทย์แกเจ๋งทั้งร้อง ทั้งเต้น อยู่แล้ว แต่อ๊อฟของเราเพิ่งมาฝึกไม่กี่วันเอง แค่นี้ก็เจ๋งแล้วอ๊อฟเอ๋ย

ก็เลยแปะคลิปไว้ด้วย เพราะส่วนตัว NaaToy ชอบป๋าวิทย์มากมาย ขออนุญาตเจ้าของคลิปและขอบคุณมาพร้อมกันนี้ด้วยเลยค่ะ ขอบคุณอย่างแรงค่ะ





** ขอบคุณรูปสวย ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 3)

สัปดาห์ที่สองกับเพลง “หยุด” ตัดมาที่วันพฤหัสเลยแล้วกัน อย่างว่า...ยังไม่ค่อยสนใจเจ้าอ๊อฟเป็นพิเศษ NaaToy ชอบข่วงประชุมครูเป็นพิเศษ คอยดูว่าบรรดาครู ๆ จะวิจารณ์ลูกศิษย์แต่ละคนว่ายังไงกันบ้าง มาถึงวีสองก็ประมาณว่า...เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกคลาส แถมเสน่ห์มีมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกต่างหาก ก็เลยเริ่มสนใจอ๊อฟเพิ่มขึ้นอีกนิดส์นึง

พอถึงช่วงซ้อมใหญ่ อ๊อฟก็ออกมาโชว์ลีลาเพลง “หยุด” ร้องสบาย ๆ ดี ก็ดูน่ารักดีน่ะนะ แหม...มีการส่ายสะโพก ด้วย แต่ใช่ว่าจะมั่นใจในลีลานั้น มีอาการเขินอายบ้าง ด้วยการหันหลังส่าย NaaToy ก็ เฮ้ย...แน่ใจหันหน้ามาซิวะ แต่...ไม่มีค่ะ เนื่องจากเจ้าอ๊อฟแกขี้อายเสียเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อ

จนครูรักต้องสอนวิธีที่ใช้กับรุ่นพี่หลาย ๆ คนในหลาย ๆ รุ่น ประมาณว่า...มีเชือกผูกไว้ที่เอวน่ะ จินตนาการว่าเชือกนั้นผูกติดกับสาว ๆ ไว้ด้วย แล้วต้องหมุนให้สาว ๆ เข้ามาหาเราให้มากที่สุด เจ้าอ๊อฟก็ลองทำดูแบบเขิน ๆ น่ะ มันก็น่ารักดีน่ะนะ ครูรักก็ลองให้คิดว่าสาวคนนั้นคือแท๊บบี้ แล้วก็ดึงเจ้าแท๊บบี้เข้ามาให้ได้ แรก ๆ มันก็ได้แค่วงเล็ก ๆ น่ะ ไม่ถูกใจครูใหญ่ แกก็แนะว่าดึงสาว ๆ มาให้ได้หมดฮอลล์เลย เจ้าอ๊อฟก็ทำอีก วงใหญ่ขึ้นแต่ยังไม่ถูกใจครูรักอีก แกว่าได้ไม่กี่คนเอง โถ...คุณครู แค่นี้เจ้าอ๊อฟมันก็เขินสุดชีวิตแล้ว ดูแล้วตลกดี แต่ครูแดนซ์กลับชอบ บอก..น่ารักดี ถูกใจทั้งครูรี่ และครูไผ่ แหม...ดีใจแทนอ๊อฟจริง ๆ นะ ที่ครูสาว ๆ ชอบ


วันเสาร์มาถึง NaaToy ก็ลุ้นอีก ตกลงว่าเจ้าอ๊อฟจะหันหลังหมุนอีกรึเปล่า เอ่อ...เป็นจริงอย่างที่คาด ไม่แน่จริง ไม่กล้าหันหน้ามาหมุน เหมือนซ้อมใหญ่กันไป แต่ก็...สนุกดี

** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **


Saturday, September 26, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 2)

แล้วก็มาถึงสัปดาห์แรกของการเข้าบ้าน อีกเช่นกัน เจ้านี่ไม่ได้อยู่ในสายตาเล้ย ที่เด่น ๆ ก็จะมีเจ้าซานิ กฤษณ์ อิชย์ นิวตี้ นุ๊กนิ๊ก กุญแจซอล แม็ค แท๊บบี้

และแล้วก็มาถึงวันพฤหัส ซึ่งเป็นวันซ้อมใหญ่ เจ้าอ๊อฟต้องมาโชว์ในเพลง “ใจกลางความเจ็บปวด” NaaToy นั้นไม่เคยเห็นเจ้านี่ซ้อมร้องมาก่อนเล้ย หรือ...ไม่อยู่ในสายตาก็ไม่รู้ ดูเจ้านี่เป็นครั้งแรกก็เอ่อ...ร้องงั้น ๆ แต่สุดท้ายมีปล่อยมุกด้วยการร้องไห้ ตอนเกือบ ๆ จะจบเพลง หันหลังปาดน้ำตา หันหน้ามาจะร้องเพลงต่อ ก็ร้องไม่ได้ น้ำตามันจะไหล ก็หันหลังไปปาดน้ำตาอีก จนเพื่อน ๆ ช่วยกันร้องจนจบเพลง หูย...น้องเอ๊ย ร้องไห้ได้แมนมาก ประมาณว่า... ตอนจบอินไปกับเพลง เห็นหน้าเพื่อน ๆ คิดว่าวันเสาร์เพื่อนออกไปคนนึง คำว่า...อ้างว้าง มันโดน ก็เลยร้องไห้ วันนั้นเจ้าอ๊อฟก็เลยได้ใจ NaaToy ไปเต็ม ๆ คอยลุ้นว่าวันเสาร์จะร้องไห้หรือเปล่าว้า

แต่...บอกตรง ๆ เลยว่า รุ่นนี้เก่งกันทุกคนเลย ไม่มีใครร้องเพี้ยนจนเว่อร์เหมือนบางรุ่นเลย ก็ประทับใจอยู่เหมือนกัน

จากนั้น NaaToy ก็เริ่มจับตามองเจ้านี่ ด้วยความนิ่ง ๆ แต่ในคลาสก็มีการเสนอความคิดเห็น ตอบคำถาม บ้างอะไรบ้าง แต่กลับดูดีเว้ยเฮ้ย ยิ้มก็โคตรเท่ห์เลย ซึ่งปกติ NaaToy ก็ชอบคนนิ่ง ๆ แต่ดูดีอยู่แล้วด้วย เหมือนเจ้ากู๊ดเอเอฟห้า เจ้ากู๊ดก็นิ่ง แต่พอยิ้ม หูย...มันจะน่ารักได้อะไรขนาดนั้น

พอถึงคลาสครูใหญ่ (คลาสโปรด) ครูรักให้เด็ก ๆ พูดถึงเพื่อน ๆ หะแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอครูรักพูดประมาณว่าเจ้านี่เป็นผู้ชายที่กุญแจซอลพูดและมองหน้ามากที่สุด ประมาณว่ากจซ.ให้ความสนิทใจกับผู้ชายคนนี้มากกว่าคนอื่น ๆ แถมเจ้านิวตี้ก็ยังบอกว่าชอบที่จะแกล้ง ตุ้บตั้บ ผู้ชายคนนี้ แล้วก็เพิ่งมารู้จากคลาสนี้เองว่าเจ้านี่ชอบทำอาหารด้วย และด้วยความที่หน้าตากับทรงผมดูเซอร์เซอร์ เหมือนเฉินหลง ก็เลยเริ่มจะสนใจเจ้าอ๊อฟขึ้นมานิดส์นึง ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เค้ย..ไม่เคยจะสนใจอะไร้เลย

วันเสาร์ก็ตั้งหน้าตั้งตาลุ้นว่า เจ้าอ๊อฟมันจะร้องไห้อีกหรือเปล่าว้า... ลุ้นจริง ๆ กลัวว่าน้อยจะคุมไม่ได้ แต่ก็รอดมาได้


** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพค่ะ **

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 1)

สืบเนื่องจากเรื่องที่แล้วได้เกริ่นไว้ว่าจะเล่าขานเรื่องราวคนโปรดของ NaaToy สักกะหน่อยนึง ชาญณรงค์ หอมชิต (อ๊อฟ) นั่นแหละ

เริ่มแรกที่ได้ดูการถ่ายทอดสดการคัด 12 คนเข้าบ้านน่ะ อ๊อฟเป็นคนแรกสุดที่ครูเป็ดประกาศว่าได้รับการคัดเลือกเป็นนักล่าฝันคนแรก ยังจำได้ที่ว่าก่อนครูเป็ดประกาศ มีการชมเจ้านี่ประมาณว่าอ๊อฟมีความเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่พยายามเต้น พอครูเป็ดจะประกาศว่าเข้ารอบหรือเปล่า เจ้านี่ก็ประมาณว่าลุ้น ก็เงยหน้ามองเพดาน แทนที่จะมองคนพูด จนครูเป็ดบอกให้มองแก เอ่อ...มันก็ตลกดี คนมันกำลังลุ้น กำลังตื่นเต้นน่ะเนอะ พอประกาศว่าได้เจ้าอ๊อฟก็กระโดดดีใจสุดฤทธิ์ มือไม้เหมือนตำครกอะไรสักอย่าง เข้าใจว่าดีใจน่ะ แล้วตอนหยิบแผ่นป้ายเลือกเบอร์ เจ้านี่ก็ทำเหมือนเล่นเกมส์โชว์อย่างไงอย่างงั้น มีการให้คนดูช่วยเลือกด้วย เอ่อ...ตลกดีว่ะ

แต่ NaaToy ไม่ได้ประทับจิตประทับใจอะไรเจ้านี่มากมาย เนื่องจาก ไม่เห็นจะมีวี่แววมาก่อน (ประมาณว่าม้ามืด คล้าย ๆ กับเจ้าที) หน้าตาก็งั้น ๆ กรรมการเลือกมาได้ไง ยิ่งพอเห็นว่ามีป้ายไฟมาเชียร์อีก แรกสุดนึกว่ามาเชียร์อ๊อฟศุภณัฐ แต่อ๊อฟไม่มานี่นา ก็คิดไปอีกว่าโห...ลงทุนเฟ้ย ในใจกลับหมั่นไส้ตั้งกะแรกด้วยซ้ำ


นับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เจ้าชาญณรงค์ หอมชิต ก็กลายเป็นอ๊อฟวีสอง เอเอฟหก ไปในที่สุด

** ขอบคุณภาพงาม ๆ จากเจ้าของภาพ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

** สำหรับบางคนที่ไม่ได้ติดตามเอเอฟหกแล้วล่ะก็ ที่เรียกเจ้าอ๊อฟว่าหอมชีสสสส..นั้น มันมาจากการเพี้ยนเสียงของคำว่า "หอมชิต" ซึ่งเป็นนามสกุลเจ้านี่นั่นเอง **

เอเอฟหก

สืบเนื่องจากหนีไปติดเอเอฟหกนานถึงสามเดือน ข่าวสารบ้านเมืองแทบจะไม่รู้ ละคงละครก็ไม่ได้ติดตาม แทบไม่ได้ออกกำลังกายอีกต่างหาก เนื้อตัวอืดถืดไปหมด จบซีซั่นชีวิตกลับมาเป็นปกติเหมือนเคย

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ถึงจะมีกะจิตกะใจเข้ามาเขียนอะไรต่อมิอะไร เนื่องจากความขี้เกียจติดตามตัวตลอดเวลา ตอนนี้จะพยายามค่อย ๆ ดึงมันออกไปทีละนิด ๆ

แต่อย่างว่า ขอเขียนเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวกับเอเอฟหกก่อนแล้วกัน มันเป็นเรื่องราวที่ NaaToy รู้สึกสบายใจดี ก็เลยขอเขียนเก็บไว้หน่อยนึง

เริ่มเลยแล้วกัน...สุดยอดนักล่าฝันปีนี้ก็เป็นไปตามที่หลายคนเก็งไว้ เจ้าซานินั่นเอง เจ้านี่เก่งไปหมดทุกอย่าง สมควรแล้วน้อง สมควร ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งรายการนี้ก็แย่แล้ว ยิ่งได้ดูในคอนเสิร์ต ถึงแม้จะดูทีวีก็ตาม แต่หนูนิก็เจ๋งสุดยอดจริง ๆ ร้องเพลงแบบเพลิน ๆ สบาย ๆ เหมือนเพลงร้องง่าย ๆ เจ๋งมาก กับเจ้าแอนอีกคน ร้องเพลงลีลาท่าทางสวยงามไปหมด ชอบมากมาย สมควรแล้วที่ได้เป็นที่หนึ่งและที่สอง ดีใจด้วยจริง ๆ

แต่สองคนนี้กลับไม่ใช่นักล่าฝันคนโปรดของ NaaToy แต่เป็น...วีสอง ชาญณรงค์ หอมชิต (อ๊อฟ) นั่นเอง ติดตามต่อไปแล้วกันว่า ทำไม NaaToy ถึงได้ชื่นชมเจ้าอ๊ออฟเป็นพิเศษ


** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

Wednesday, August 5, 2009

ความดันโลหิตสูง(2)

ความดันโลหิตสูง ภัยเงียบที่ไม่มีอาการ
ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว โรคไตวาย และโรคอัมพาต ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการจนกว่าจะเกิดโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ การตรวจวัดความดันสม่ำเสมอจะช่วยวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรก และการควบคุมความดันโลหิตให้ได้ถึงเกณฑ์ปกติ ตั้งแต่เริ่มวินิจฉัยจะช่วยให้ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น


จะทำอย่างไร..เมื่อรู้ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
การรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่เริ่มเป็น หรือระดับความดันโลหิตยังสูงไม่มาก จะเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งถ้าหากผู้ป่วยสามารถปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอจะทำให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ (ความดันโลหิตไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท) โดยไม่ต้องอาศัยการรับประทานยา

หลักการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อความดันโลหิตสูง

1. ลดน้ำหนัก : ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่น้ำหนักเกิน หรืออ้วน การลดน้ำหนักลงจะได้ประโยชน์ในการลดความดันโลหิตมาก การลดน้ำหนักลง 10 กิโลกรัม จะลดความดันโลหิตได้ 5-20 มิลลิเมตรปรอท ความจริงแล้วผลดีอื่นๆ ที่ได้จากการลดน้ำหนักมีมากกว่าการลดความดันโลหิต เช่น ป้องกันการเกิดเบาหวาน ภาวะหัวใจล้มเหลว ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น ควรควบคุมไม่ให้ดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 25 กก./ตรม.
*** ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร) ***

2. หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม : เมื่อได้รับ "เกลือ" หรืออาหารรสเค็มต่างๆ ร่างกายจะดูดน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น เป็นผลให้ปริมาณสารน้ำในร่างกายสูงขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้นและควบคุมได้ยาก ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม โดยไม่เติมเกลือน้ำปลาหรือซีอิ๊วในอาหารอีก นอกจากนั้นควรงดผงชูรสหรืออาหารที่มีผงชูรสอยู่มากด้วย เนื่องจากผงชูรสมีเกลือโซเดียมเช่นกัน ไม่แนะนำให้ใช้เกลือเทียม เช่น เกลือโปแตสเซียมแทนเกลือแกง เนื่องจากเป็นอันตรายได้ในผู้ที่มีไตเสื่อม อาหารที่แนะนำนอกจากไข่เค็มแล้วควรจะเป็นอาหารที่พลังงานต่ำ และมีไขมันจากสัตว์น้อย เพิ่มการรับประทานปลาแทนเนื้อหรือหมู และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงต่างๆ ขนมหวาน เน้นผักและผลไม้ที่ไม่หวานจัดแทน

3. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ :การออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็วๆ วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ครั้งละ 20-30 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตลงบ้างแล้วยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ควบคุมน้ำหนักได้ง่าย ไขมัน คอเลสเตอรอลชนิดดีเพิ่มขึ้น จิตใจแจ่มใส สำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงมาก หรือผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย หากท่านไม่สามารถจัดเวลาเพื่ออกกำลังกายได้ แนะนำให้ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ท่านทำอยู่แล้วแทน เช่น ใช้การเดินขึ้นบันไดแทนลิฟท์ เดินไปตลาดหรือทำงานบ้านด้วยตนเอง

4. งดบุหรี่:การสูบบุหรี่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วขณะ แม้ว่าการเลิกบุหรี่อาจไม่มีผลลดความดันโลหิตในระยะยาว แต่ไม่สูบบุหรี่จะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจ ถุงลมโป่งพอง มะเร็งอีกหลายชนิด และยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของคนใกล้ชิดอีกด้วย

5. ลดแอลกอฮอล์: แม้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยๆ อาจช่วยเพิ่มไขมันคอเลสเตอรอลชนิดดีได้บ้าง แต่ไม่แนะนำให้ดื่มเนื่องจากผลเสียของการดื่มแอลกอฮอล์มีมากกว่าผลดี อย่าเชื่อโฆษณาที่แนะนำให้ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ หากท่านดื่มอยู่แล้ว ก็ควรจำกัดปริมาณให้น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าว เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตและลดปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่หากหลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ การรักษาโรคโดยการใช้ยาเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอหลังจากที่ทราบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูง(1)

สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ ที่ ๆ NaaToy ทำงานมีการบรรยายเรื่อง "เพื่อสุขภาพความดันที่ดีกว่า" ฟังแล้วมันน่าสนใจดี เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ควรเฝ้าระวัง ก็เลยหาข้อมูลเป็นภาษาไทยมาให้อ่านกัน เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงโทษของโรคนี้ เรื่องราวนี้นำมาจาก http://www.bangkokhealth.com/ ขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ภาวะความดันโลหิตสูง พบได้ประมาณ 10% ของประชากรทั่วโลก เป็นภาวะเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนไทยและสามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการง่ายๆ

อย่างไรจึงจะเรียกว่าความดันโลหิตสูง
โดยปกติผู้ที่อายุไม่ถึง 40 ปี ความดันโลหิตไม่ควรเกิน 140/90 มม.ปรอท ค่าความดันตัวบนอาจจะเพิ่มขึ้นตามอายุ จะทราบค่าความดันโลหิตตัวบนปกติของแต่ละอายุได้ โดยนำจำนวนอายุมาบวกกับ 100 โดยทั่วไปความดันตัวบนไม่ควรเกิน 160 มม.ปรอท และความดันตัวล่าง (ในผู้ใหญ่) ไม่อายุเท่าไหร่ก็ตามไม่ควรเกิน 90 มม.ปรอท

อาการสำคัญที่พบในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง คือ
- ปวดศีรษะ มึนงง โดยทั่วไปจะปวดบริเวณท้ายทอย และมักจะเป็นในตอนเช้า ถ้าความดันโลหิตสูงมากและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจะมีอาการคลื่นไส้ และตามัวร่วมด้วย ในบางรายอาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย
- เหนื่อยง่าย เนื่องจากหัวใจต้องทำงาน
- เลือดกำเดาออก

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีความดันโลหิตสูงแล้วไม่รักษาหรือรักษาและปฏิบัติตัวไม่สม่ำเสมอ
- สายตาเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว หรือตาบอด หลอดเลือดในตาอาจตีบตันหรือแตกมีการตกเลือดในตาหรือบวมในชั้นตาที่รับภาพ
- อาการทางสมอง หลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาจชักหรือไม่รู้สึกตัว และอาจเกิดอัมพาตถ้ารักษาไม่ทัน
- หัวใจล้มเหลว จากการที่กล้ามเนื้อหัวใจต้องทำงานมากขึ้น จึงทำให้หัวใจโต เกิดอาการเหนื่อย หอบหายใจลำบาก โดยเฉพาะทางกลางคืน และภาวะความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อขาดเลือดจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
- ไตพิการ หรือไตอักเสบ เกิดอาการบวม

ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงจะมีชีวิตยืนยาวได้เช่นคนปกติหรือไม่
สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงไม่มาก และได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มแรกต่อเนื่อง และปฏิบัติตัวอย่างสม่ำเสมอโดยยังไม่มีภาวะหัวใจโต หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น ไม่มีภาวะไตวาย และหลอดโลหิตยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนักมีโอกาสจะมีชีวิตยืนยาวได้เช่นคนปกติ แต่ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงแล้วควรได้รับดูแลการรักษาอย่างต่อโดยแพทย์เฉพาะทางมิเช่นนั้นแล้ว โอกาสที่จะมีชีวิตยืนยาวย่อมน้อยลง

Sunday, July 5, 2009

Sitting Disease กับ การเดินเพื่อสุขภาพ

แต่ละวันพวกเราส่วนใหญ่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็นั่งทำงานทั้งวัน “Sitting Disease” โรคที่ไม่ธรรมดานี้ปัจจุบันฆ่าพวกเรามากขึ้นกว่าการสูบบุหรี่เสียอีก ในการวิจัยไม่นานมานี้กับประชากร 37,000 คน พบว่าการใช้ชีวิตด้วยการนั่งเกือบทั้งวัน นับตั้งแต่ลงจากเตียง ขับรถ นั่งเก้าอี้ โซฟา ทำให้เกิดโรคร้ายที่ผลต่อสุขภาพอย่างยิ่ง น่าจะรวมทั้งเด็ก ๆ ที่นั่งเรียนเกือบทั้งวัน กลับบ้านมาทำการบ้าน นั่งดูทีวี และนั่งเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์

มันผิดที่เรานั่งมากจนเกินไป ทำไมล่ะ การนั่งทำให้เกิดการเสริมสร้างไขมันอันตรายที่เรียกว่า visceral fat เป็นไขมันซึ่งอยู่ลึกภายในท้อง รอบ ๆ อวัยวะภายในและเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน ความดันโลหิตสูง และโรคอื่น ๆ

การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดที่ทุกคนทำได้
- เดิน 30 นาทีทุกวันลดช่วยความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ 30-40%
- สาว ๆ ที่เดิน 1-2 ไมล์ (ประมาณ 3 กม.) สัปดาห์ละ 3 ครั้งช่วยลดเซลไขมันที่ท้องได้ 18% ภายในสี่เดือน
- ลดความเครียด จากงานวิจัยพบว่าการเดินช่วยให้เราหลับได้เร็วขึ้น 15 นาที และหลับได้นานขึ้น
- การเดินเป็นหนึ่งในการออกกำลังกายที่ดีที่สุดที่ทำให้คุณสามารถควบคุมเบาหวานประเภท 2 ได้
- ไม่ต้องเดินเร็วก็ให้ผลเช่นเดียวกันคนที่เดินช้ากว่าในระยะทางที่ไกลกว่า


กำจัดเจ้าโรค "Sitting Disease" ด้วยการเดินทุกวัน คุณจะได้ประโยชน์ทางสุขภาพมากมายถ้าคุณได้เดินนอกสถานที่ท่ามกลางสายลมแสงแดด แต่ถ้าคุณไม่พร้อมล่ะก็ อย่างน้อยคุณต้องลุกออกจากโซฟาหรือเก้าอี้ ห่าง ๆ จากจอคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือออฟฟิซก็ตามด้วยการเดินสัก 15-30 นาที ลุกขึ้นขยับตัวกันเถอะ

แปลและเรียบเรียงจากezinearticle

ว่าด้วยเรื่องของการลดไขมันเฉพาะจุด

ว่ากันว่า : บริหารกล้ามเนื้อส่วนไหน ส่วนนั้นก็จะลด (ลดไขมันเฉพาะจุด - spot reduction)

ความเป็นจริง : พันธุกรรมเป็นตัวกำหนดบริเวณที่ลดไขมัน

กล้ามเนื้อไม่สามารถควบคุมไขมันที่อยู่เหนือตัวมันเองกับผิวหนังได้ คุณคงเคยพยายามลดไขมันเฉพาะจุด ฝึกท่า squat เพื่อลดต้นขา บริหารหน้าท้องด้วยอุปกรณ์ เข้าคลาสเพื่อบริหารสะโพก

คำถามที่พบกันบ่อย ๆ เช่น
1) วิธีใดที่ดีที่สุดในการกระชับต้นขา หน้าท้อง และหลัง?
คำว่ากระชับนั้นทำให้เราสับสน แล้วตกลงมันแปลว่าอะไรกันล่ะ เราคงคิดกันว่ามันหมายถึงการทำให้กล้ามเนื้อชัดขึ้น แต่จริง ๆ แล้วที่พวกเราต้องการก็คือไขมันที่ลดน้อยลง และที่ถูกมองข้ามกันบ่อยก็คือความจริงที่ว่ากล้ามเนื้อจะเห็นชัดขึ้นด้วยการลดชั้นไขมันที่มันปกปิดกล้ามเนื้อไว้ ไม่มีการบริหารเฉพาะท่าใด ๆ ที่จะเสริมสร้างความชัดของกล้ามเนื้อด้วยการย้ายไขมันออกจากบริเวณนั้น งั้นคำตอบคืออะไรกันล่ะ ก็คือการลดไขมันในร่างกายนั่นเอง หรืออีกนัยหนึ่ง แค่บริโภคแคลอรี่น้อยกว่าที่เบิร์น จนกระทั่งถึงระดับไขมันที่คุณพอใจ weight training นั้นเสริมสร้างกล้ามเนื้อขณะที่คุณลดน้ำหนัก เมื่อถึงจุดมุ่งหมาย คุณจะมีกล้ามเนื้อกระชับมากขึ้น และกล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นนั้นทำให้รูปร่างดูเป็นสัดเป็นส่วนขึ้น


2) ฉันจะกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะต้นขาออกได้อย่างไร?
ไม่สามารถ ลองคิดดูซิ ต้นขาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เคลื่อนไหวแทบจะตลอดเวลา แต่สุดท้ายมันก็ยังมีไขมัน การที่คุณบริโภคน้อยกว่าการเบิร์น (calorie deficit) ไขมันในร่างกายจะจากไปไม่ว่าจะเป็นบริเวณใดของร่างกาย กลไกทางพันธุกรรมดึงมันจากไป โดยทั่วไปแล้วที่ท้ายสุดคือที่แรกสุดที่ออกไป แต่มันก็เปลี่ยนไปตามอายุของคุณอีกนั่นแหละ และอีกครั้งถ้าคุณบริโภคแคลอรี่น้อยลงกว่าที่คุณเบิร์น ไอ้สิ่งที่ติดอยู่กันต้นขาของคุณก็จะจากไป แต่มันอาจจะเป็นลำดับสุดท้ายที่จากไปก็ได้


แปลและเรียบเรียงเรื่องราวดี ๆ จาก ezinearticle

Tuesday, June 23, 2009

การออกกำลังกายเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

สืบเนื่องจากหัวข้อบทความ อ่านแล้วน่าสนใจว่า ทำไมออกกำลังกายแล้วยังเป็นโทษอีก ก็เลยอ่าน มันน่าสนใจดี ก็เลยแปลออกมาให้ผู้อ่าน 5-6 คนได้อ่านกัน บอกไว้ก่อนว่า NaaToy ไม่มีความรู้เรื่องราวเหล่านี้มากนัก แต่ก็พยายามค้นหาข้อมูลมาเพื่อให้ตัวเองเข้าใจ และคิดว่าผู้อ่านอีก 5-6 คน ก็น่าจะพอเข้าใจได้ ขอให้ลองอ่านกันดู

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพส่วนใหญ่บอกไว้ว่าการออกกำลังกายนั้นสำคัญกับสุขภาพ แล้ว…มันจะส่งผลร้ายอย่างไรกันล่ะ จงอ่านต่อไปคุณจะพบว่าทำไม

การออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหาร และประโยชน์หลัก ๆ ก็คือการไหลเวียนของโลหิต และระบบการหายใจ คุณสามารถสังเกตข้อดีเหล่านี้ได้ง่าย ๆ เมื่อเปรียบเทียบคนที่แอคทีฟอยู่เสมอกับคนที่นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน

แต่…การออกกำลังกายก็ก่ออันตรายได้เหมือนกัน เนื่องจากการออกกำลังกายนั้น ทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนมากขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ขณะที่เซลทำปฏิกิริยากับออกซิเจนมากเกินไป จึงเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเสมือนของเสียในร่างกาย

แม้ว่าอนุมูลอิสระนั้นยากที่จะวัดได้โดยตรง แต่ก็เป็นที่รู้ทั่วไปว่า เป็นสิ่งนำมาซึ่งเชื้อโรคและความชรา รวมทั้งมะเร็งซึ่งกระทบต่อดีเอ็นเอ เยื่อหุ้มเซล และส่วนสำคัญอื่น ๆ ในร่างกาย

ข่าวดีก็คือจากการศึกษาพบว่าร่างกายคนเราปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเมื่อเราออกกำลังกาย ทำให้กลไกในการกำจัดอนุมูลอิสระดีขึ้น คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำและกินอาหารถูกหลักโภชนาการเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระนั้น อาจจะได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายมากกว่าอันตรายที่เกิดจากการเพิ่มอนุมูลอิสระ

ข่าวร้ายก็คือการศึกษาที่กล่าวข้างต้นนี้พบว่าการออกกำลังกายเป็นครั้งคราว เช่น การออกกำลังกายเต็มที่ในช่วงสุดสัปดาห์ ส่งผลอันตรายด้วยการเพิ่มอนุมูลอิสระและทำลายเนื้อเยื่อ โดยไม่ได้ทำให้กลไกของร่างกายในการลดอนุมูลอิสระดีขึ้น นี่เป็นหนึ่งในบรรดาเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นความคิดที่ดี ที่เราค่อย ๆ เพิ่มความหนักในโปรแกรมการออกกำลังกาย แต่มันยังหมายถึงว่าคุณควรออกกำลังกายเสมออีกด้วย

*** ข้อมูลเพิ่มเติม *** อนุมูลอิสระเป็นสารไม่คงตัว มีพลังงานสูง เป็นผลให้เกิดการทำงานของเซลล์ผิดปกติ ร่างกายจึงเกิดโรคและพยาธิสภาพต่างๆ เช่น ผนังหลอดเลือดแข็งตัว ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รุนแรงขึ้น ทำให้เกิดความชราและความเสื่อมของเซลล์ นอกจากนี้ สารอนุมูลอิสระยังสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้กลายไปเป็นเซลล์มะเร็ง

⇒ แหล่งที่มาของอนุมูลอิสระสามารถแบ่งได้อย่างง่ายๆ คือ
1. อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองภายในร่างกาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการ เผาผลาญของร่างกาย การออกกำลังกายอย่างหักโหม ความเครียด
2. อนุมูลอิสระจากภายนอกร่างกาย เช่น
(1) การติด เชื้อทั้งแบคทีเรียและไวรัส
(2) การอักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุของกลุ่มโรคภูมิต้านทานตัวเอง (autoimmune diseases) เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี รังสีอัลตราไวโอเลต จากแสงแดดกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระบริเวณผิวหนัง