Monday, October 26, 2009

China Trip (ตอน 11)

24 ตค. 52 วันนี้เป็นวันช้อปปิ้ง เรากับพี่ ๆ อีก 3 คนที่ไม่ชอบช้อป ก็ตกลงปลงใจว่าพากันไปเมืองจำลองกันดีกว่า ก็ถามไกด์กันว่า จะไปยังไงกันดี ไกด์ก็บอกว่าให้ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อยู่หน้าห้างที่พวกเราถูกไปปล่อยให้ชอปปิ้งนั่นเอง แล้วไปลงที่สถานีฮวาเฉียวฉึง (Huaqiaocheng) ซึ่งตรงกับเมืองจำลอง (เรียกกันประมาณว่าจิ่งซิ่วจงหัว) เลย แล้วให้ไปเจอกันที่ร้านอาหารตอน 6 โมงครึ่ง คุณไกด์ให้ใบถ่ายเอกสารชื่อร้านอาหาร มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ แล้วไกด์ก็ให้เบอร์โทร เผื่อมีอะไรขัดข้องหมองใจ แถมยังมีเขียนในใบนั้น รับรองว่าเป็นลูกทัวร์ ให้ต้อนรับขับสู้ประมาณนั้นด้วย ซึ่งไกด์แกบอกไว้ว่าร้านอาหารมันอยู่ตรงกันข้ามกับเมืองจำลองนั่นแหละ พวกเราก็เลยใจชื้นขึ้นเยอะเลยทีเดียว

แล้วคุณไกด์ใจดีก็พาไปส่งที่สถานีรถไฟใต้ดิน แลกเหรียญขึ้นรถไฟฟ้า ราคาคนละ 5 หยวน เรากับพี่ ๆ อีก 3 คนก็พากันไป แล้วก็ถึงเมืองจำลองจนได้ ที่นี่เราต้องใช้แผนที่ค่ะ เพราะสถานที่กล้างขวางยิ่งนัก โดยส่วนตัวไม่เคยใช้แผนที่ได้สึกหรอขนาดนี้มากมายมาก่อน งานนี้แผนที่เละได้ใจจริง ๆ

ที่นี่นอกจากจะมีเมืองจำลองแล้ว ก็ยังมีการแสดงต่าง ๆ นานา และโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะอยู่ในโซนหมู่บ้าน ดูการแสดงของแต่ละหมู่บ้านซะมากกว่า

การแสดงแรกที่เราได้ดู เป็นการแสดงของหมู่บ้าน LI ซึ่งอยู่ที่เกาะไหหลำ จะเป็นการแข่งของสองทีม เกี่ยวกับการปีนมะพร้าว การเล่นลูกข่าง ก็สนุกดี ลุ้น เชียร์ กันมันส์ดี ตอนจบมีการดึงคนดูไปเต้นด้วย นักแสดงก็มาดึงตัวเราไปเต้นด้วย ก็เออ...เอาก็เอาวะ ก็สนุกดี ไปปล่อยแก่กันที่เมืองจีน

การแสดงที่ประทับใจที่สุดจนต้องดูสองรอบชื่อว่า Unparalleled Hero ที่ Horseback Battle Field แค่สถานที่แสดง ได้อ่านก็น่าดูแล้ว คิดไปว่าประมาณต่อสู้บนหลังม้า พอไปดูจริง ๆ แล้ว หูว์...มันเจ๋งได้ใจจริง ๆ ประมาณว่าเป็นสงครามแย่งชิงเมือง แม่ทัพควบม้าได้เท่ห์สุด ๆ ยิ่งขี่ม้าเร็ว ๆ นะ โหย...อะไรมันจะเท่ห์ได้ใจขนาดนั้นก็ไม่รู้ การพากษ์ ให้เสียงต่าง ๆ นานา ก็เร้าใจ ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาของเค้าก็ตาม แต่มันรู้เรื่องได้จากน้ำเสียง ท่าทางของนักแสดง เร้าใจสุด ๆ


เป็นการแสดงศึกสงคราม มีการดวลกันเดี่ยว ๆ บ้าง ถูกรุมกันบ้าง เก่งอ่ะ มันคล้าย ๆ กับแสดงกายกรรมบนหลังม้าเหมือนกัน คนจีนเก่ง นับถือ นับถือ

แล้วก็มีการบุกเข้าเมือง มีการขว้างหินลงมาจากตัวเมือง มีคนตกลงมาจากกำแพงเมือง มีการยึดเมืองกลับคืนมา ต่อสู้บนหลังม้า สุดท้ายจบด้วยฝ่ายที่แพ้ จูงม้ากลับด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กระโผลกกระเผลกกันไป สนุกดี มันเหมือนกับที่เราได้ดูในทีวีน่ะ ตื่นเต้น สนุก ลุ้นระลึก ชอบมากมายก่ายกอง ตัดสินใจถูกแล้วที่มาที่นี่แทนการไปช้อปปิ้ง

พอถึงเวลาอันสมควรที่เราจะต้องจรลีไปร้านอาหารตามที่นัดไว้ตอน 6 โมงครึ่ง เพื่อความมั่นใจพี่ในกลุ่มก็เลยไปถามไกด์จีนซึ่งมากับกลุ่มคนไทย เค้าก็บอกว่าร้านนี้ถ้าเดินมันซับซ้อนนิดนึงนะ นั่งแท็กซี่จะสะดวกกว่า ก็ให้ข้ามสะพานลอยไปขึ้นฝั่งตรงกันข้าม
พวกเราก็พากันข้ามสะพานลอยไปอีกฟากถนน เรียกแท็กซี่ ปรากฎว่าแท็กซี่มันพากันส่ายหน้า ไม่ไป หรือไม่รู้จัก ก็ไม่รู้ เอาล่ะซิ มันไม่หมูเสียแล้ว ก็เลยพากันไปถามที่โรงแรมใกล้ ๆ คิดว่าน่าจะรู้ ปรากฎพนักงานในนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามคนแถวนั้นหลายคนก็ไม่รู้ จนมาถึงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่คงพากันมาพักผ่อนหลังจากกินข้าวเสร็จ เป็นที่พึ่งที่ดีอย่างมากมาย พี่เค้ายื่นกระดาษใบที่มีที่อยู่ของร้านอาหารให้ดู พอเห็นว่าเค้ารู้จัก พวกเราก็ใจชื้นขึ้นเยอะ แกพยายามบอกทางเป็นภาษาใบ้ ซึ่งพวกเราก็ไม่เข้าใจ พอดีเราพกปากกา กระดาษ ติดตัวอยู่แล้ว ก็เลยให้เขาเขียนแผนที่ให้ แถมยังเขียนบอกไว้ว่าร้านอาหารห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร พวกเราก็สุดแสนดีใจ ใกล้ ๆ นี่หว่า ก็เซี่ยะเซี่ยะกันไป

พวกเราพากันออกเดิน ทางมันเป็นถนนเล็ก ๆ ไม่สว่างนัก แต่ไม่ถึงกับมืดตื้บอะไร ก็เฮ้ย...เริ่มไกลขึ้นเรื่อย ๆ แถวนี้มันจะมีร้านอาหารเหรอฟระ ก็พากันไปเรื่อย ๆ ถามทางกันไปเรื่อย ๆ เจอคนรู้จักร้านบ้างไม่รู้บ้าง จนกระทั่งมาเจอกลุ่มทัวร์ชาวจีนลงมาจากตึกหลังหนึ่ง ก็คิดว่าน่าจะเป็นแถวนี้แหละ แต่ตึกมันดูแปลก ๆ โล่ง ๆ มีแต่พนักงานสาวสวยนางหนึ่งอยู่หน้าตึก มีคนจีนลงมาจากบันได พวกเราก็เดินผ่านกันไป ไม่แน่ใจนัก สักพักพวกเราก็เดินย้อนกลับมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งอีก พี่เค้าก็ถามยามดู ว่าจะรู้จักหรือเปล่า ยามคนดีก็ชี้ไปทางซ้ายมือที่เราเดินผ่านกันมาแล้ว เอ้า...ก็เลยลองเดิน ๆ กันไป ไปหยุดที่ตึกที่มีพนักงานสาวยืนอยู่ ก็เดินไปถามเค้าว่ารู้จักร้านอาหารนี้หรือเปล่า ก็ปรากฎว่าร้านนี้มันอยู่ข้างบนตึกนี่เอง ชั้นสาม พวกเราพากันขึ้นไป พร้อมยื่นใบถ่ายเอกสารเยิน ๆ ให้กับพนักงานในร้านอาหาร พวกเราได้นั่งโต๊ะสมใจสักที ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น สนุกดีเหมือนกัน แถมพวกเรายังมาก่อนคนที่ไปช้อปปิ้งเสียอีก เป็นความภาคภูมิใจซะจริง ๆ

อาหารมื้อนี้ มีความรู้สึกได้ว่าเป๊ปซี่เป็นอะไรที่อร่อยที่สุด ก็เพราะพวกเราเหนื่อยอย่างมากมาย คอแห้งหลาย ๆ หลังอาหารมื้อนี้พวกเราก็ต้องจรลีกลับเมืองไทยกันแล้ว ใจหนึ่งก็คิดถึงบ้านชะมัดยาด อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับไปทำงานเล้ย แต่มันก็ต้องกลับอ่ะนะ กลับบ้าน กลับเมืองไทย ดีกว่าเนอะ เย้..................

No comments: