Monday, October 26, 2009

China Trip (ตอน 11)

24 ตค. 52 วันนี้เป็นวันช้อปปิ้ง เรากับพี่ ๆ อีก 3 คนที่ไม่ชอบช้อป ก็ตกลงปลงใจว่าพากันไปเมืองจำลองกันดีกว่า ก็ถามไกด์กันว่า จะไปยังไงกันดี ไกด์ก็บอกว่าให้ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อยู่หน้าห้างที่พวกเราถูกไปปล่อยให้ชอปปิ้งนั่นเอง แล้วไปลงที่สถานีฮวาเฉียวฉึง (Huaqiaocheng) ซึ่งตรงกับเมืองจำลอง (เรียกกันประมาณว่าจิ่งซิ่วจงหัว) เลย แล้วให้ไปเจอกันที่ร้านอาหารตอน 6 โมงครึ่ง คุณไกด์ให้ใบถ่ายเอกสารชื่อร้านอาหาร มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ แล้วไกด์ก็ให้เบอร์โทร เผื่อมีอะไรขัดข้องหมองใจ แถมยังมีเขียนในใบนั้น รับรองว่าเป็นลูกทัวร์ ให้ต้อนรับขับสู้ประมาณนั้นด้วย ซึ่งไกด์แกบอกไว้ว่าร้านอาหารมันอยู่ตรงกันข้ามกับเมืองจำลองนั่นแหละ พวกเราก็เลยใจชื้นขึ้นเยอะเลยทีเดียว

แล้วคุณไกด์ใจดีก็พาไปส่งที่สถานีรถไฟใต้ดิน แลกเหรียญขึ้นรถไฟฟ้า ราคาคนละ 5 หยวน เรากับพี่ ๆ อีก 3 คนก็พากันไป แล้วก็ถึงเมืองจำลองจนได้ ที่นี่เราต้องใช้แผนที่ค่ะ เพราะสถานที่กล้างขวางยิ่งนัก โดยส่วนตัวไม่เคยใช้แผนที่ได้สึกหรอขนาดนี้มากมายมาก่อน งานนี้แผนที่เละได้ใจจริง ๆ

ที่นี่นอกจากจะมีเมืองจำลองแล้ว ก็ยังมีการแสดงต่าง ๆ นานา และโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะอยู่ในโซนหมู่บ้าน ดูการแสดงของแต่ละหมู่บ้านซะมากกว่า

การแสดงแรกที่เราได้ดู เป็นการแสดงของหมู่บ้าน LI ซึ่งอยู่ที่เกาะไหหลำ จะเป็นการแข่งของสองทีม เกี่ยวกับการปีนมะพร้าว การเล่นลูกข่าง ก็สนุกดี ลุ้น เชียร์ กันมันส์ดี ตอนจบมีการดึงคนดูไปเต้นด้วย นักแสดงก็มาดึงตัวเราไปเต้นด้วย ก็เออ...เอาก็เอาวะ ก็สนุกดี ไปปล่อยแก่กันที่เมืองจีน

การแสดงที่ประทับใจที่สุดจนต้องดูสองรอบชื่อว่า Unparalleled Hero ที่ Horseback Battle Field แค่สถานที่แสดง ได้อ่านก็น่าดูแล้ว คิดไปว่าประมาณต่อสู้บนหลังม้า พอไปดูจริง ๆ แล้ว หูว์...มันเจ๋งได้ใจจริง ๆ ประมาณว่าเป็นสงครามแย่งชิงเมือง แม่ทัพควบม้าได้เท่ห์สุด ๆ ยิ่งขี่ม้าเร็ว ๆ นะ โหย...อะไรมันจะเท่ห์ได้ใจขนาดนั้นก็ไม่รู้ การพากษ์ ให้เสียงต่าง ๆ นานา ก็เร้าใจ ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาของเค้าก็ตาม แต่มันรู้เรื่องได้จากน้ำเสียง ท่าทางของนักแสดง เร้าใจสุด ๆ


เป็นการแสดงศึกสงคราม มีการดวลกันเดี่ยว ๆ บ้าง ถูกรุมกันบ้าง เก่งอ่ะ มันคล้าย ๆ กับแสดงกายกรรมบนหลังม้าเหมือนกัน คนจีนเก่ง นับถือ นับถือ

แล้วก็มีการบุกเข้าเมือง มีการขว้างหินลงมาจากตัวเมือง มีคนตกลงมาจากกำแพงเมือง มีการยึดเมืองกลับคืนมา ต่อสู้บนหลังม้า สุดท้ายจบด้วยฝ่ายที่แพ้ จูงม้ากลับด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง กระโผลกกระเผลกกันไป สนุกดี มันเหมือนกับที่เราได้ดูในทีวีน่ะ ตื่นเต้น สนุก ลุ้นระลึก ชอบมากมายก่ายกอง ตัดสินใจถูกแล้วที่มาที่นี่แทนการไปช้อปปิ้ง

พอถึงเวลาอันสมควรที่เราจะต้องจรลีไปร้านอาหารตามที่นัดไว้ตอน 6 โมงครึ่ง เพื่อความมั่นใจพี่ในกลุ่มก็เลยไปถามไกด์จีนซึ่งมากับกลุ่มคนไทย เค้าก็บอกว่าร้านนี้ถ้าเดินมันซับซ้อนนิดนึงนะ นั่งแท็กซี่จะสะดวกกว่า ก็ให้ข้ามสะพานลอยไปขึ้นฝั่งตรงกันข้าม
พวกเราก็พากันข้ามสะพานลอยไปอีกฟากถนน เรียกแท็กซี่ ปรากฎว่าแท็กซี่มันพากันส่ายหน้า ไม่ไป หรือไม่รู้จัก ก็ไม่รู้ เอาล่ะซิ มันไม่หมูเสียแล้ว ก็เลยพากันไปถามที่โรงแรมใกล้ ๆ คิดว่าน่าจะรู้ ปรากฎพนักงานในนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามคนแถวนั้นหลายคนก็ไม่รู้ จนมาถึงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่คงพากันมาพักผ่อนหลังจากกินข้าวเสร็จ เป็นที่พึ่งที่ดีอย่างมากมาย พี่เค้ายื่นกระดาษใบที่มีที่อยู่ของร้านอาหารให้ดู พอเห็นว่าเค้ารู้จัก พวกเราก็ใจชื้นขึ้นเยอะ แกพยายามบอกทางเป็นภาษาใบ้ ซึ่งพวกเราก็ไม่เข้าใจ พอดีเราพกปากกา กระดาษ ติดตัวอยู่แล้ว ก็เลยให้เขาเขียนแผนที่ให้ แถมยังเขียนบอกไว้ว่าร้านอาหารห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร พวกเราก็สุดแสนดีใจ ใกล้ ๆ นี่หว่า ก็เซี่ยะเซี่ยะกันไป

พวกเราพากันออกเดิน ทางมันเป็นถนนเล็ก ๆ ไม่สว่างนัก แต่ไม่ถึงกับมืดตื้บอะไร ก็เฮ้ย...เริ่มไกลขึ้นเรื่อย ๆ แถวนี้มันจะมีร้านอาหารเหรอฟระ ก็พากันไปเรื่อย ๆ ถามทางกันไปเรื่อย ๆ เจอคนรู้จักร้านบ้างไม่รู้บ้าง จนกระทั่งมาเจอกลุ่มทัวร์ชาวจีนลงมาจากตึกหลังหนึ่ง ก็คิดว่าน่าจะเป็นแถวนี้แหละ แต่ตึกมันดูแปลก ๆ โล่ง ๆ มีแต่พนักงานสาวสวยนางหนึ่งอยู่หน้าตึก มีคนจีนลงมาจากบันได พวกเราก็เดินผ่านกันไป ไม่แน่ใจนัก สักพักพวกเราก็เดินย้อนกลับมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งอีก พี่เค้าก็ถามยามดู ว่าจะรู้จักหรือเปล่า ยามคนดีก็ชี้ไปทางซ้ายมือที่เราเดินผ่านกันมาแล้ว เอ้า...ก็เลยลองเดิน ๆ กันไป ไปหยุดที่ตึกที่มีพนักงานสาวยืนอยู่ ก็เดินไปถามเค้าว่ารู้จักร้านอาหารนี้หรือเปล่า ก็ปรากฎว่าร้านนี้มันอยู่ข้างบนตึกนี่เอง ชั้นสาม พวกเราพากันขึ้นไป พร้อมยื่นใบถ่ายเอกสารเยิน ๆ ให้กับพนักงานในร้านอาหาร พวกเราได้นั่งโต๊ะสมใจสักที ทั้งเหนื่อย ทั้งลุ้น สนุกดีเหมือนกัน แถมพวกเรายังมาก่อนคนที่ไปช้อปปิ้งเสียอีก เป็นความภาคภูมิใจซะจริง ๆ

อาหารมื้อนี้ มีความรู้สึกได้ว่าเป๊ปซี่เป็นอะไรที่อร่อยที่สุด ก็เพราะพวกเราเหนื่อยอย่างมากมาย คอแห้งหลาย ๆ หลังอาหารมื้อนี้พวกเราก็ต้องจรลีกลับเมืองไทยกันแล้ว ใจหนึ่งก็คิดถึงบ้านชะมัดยาด อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากกลับไปทำงานเล้ย แต่มันก็ต้องกลับอ่ะนะ กลับบ้าน กลับเมืองไทย ดีกว่าเนอะ เย้..................

China Trip (ตอน 10)

ก่อนขึ้นเครื่องไปเซินเจิ้น ก็พากันไปเดินที่ถนนแห่งหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ เป็นถนนประมาณเซ็นเตอร์พอยต์ หญิงชายแต่งตัวทันสมัยสวยงาม เรายังกะบ้านนอกเข้ากรุงซะงั้น

จริง ๆ แล้ว พวกเราก็ไม่ได้เดินเที่ยวกันทุกคนหรอก ใครใคร่ลงเดิน เดิน ใครใคร่นั่งรอในรถ ก็รอ ไกด์ให้เวลาประมาณ 15 นาที ประมาณว่าเปิดหูเปิดตาซะงั้น เพราะเวลาไม่พอ กลัวรถติด แล้วจะตกเครื่องบิน ก็เลยต้องเดินจ้ำพรวด ๆ ตามไกด์ ไปได้สักครึ่งถนน ก็กลับ เพราะมันก็แค่เปิดหูเปิดตาแค่นั้น มันเป็นประหนึ่งการออกกำลังกายตอนเย็น เป็นการเดินเร็ว ถึงรถแล้วพากันหอบแฮ่ก ๆ ไม่รู้จะไปกันทำไมน้อ

เย็นย่ำค่ำคืน พวกเราก็พากันขึ้นเครื่องบินไปเซินเจิ้น และแล้วก็ดีเลย์อีกตามเคย เฮ้อออออออออออออ กว่าจะนอนก็ตั้งตี 1 ทำไมมันลำบากลำบนอย่างนี้หนอ...ชีวิต

China Trip (ตอน 9)











23 ตค. 52 วันนี้ได้ตะลอนไปที่ศูนย์วิจัยหมีแพนด้า ไปดูหมีแพนด้า กับ Red Panda สถานที่เค้าใหญ่โตดี อากาศเย็นสบายดี หมีก็เยอะดี มีทั้งตัวใหญ่ ตัวน้อย น่ารักดี

จากนั้นเราก็ไปศาลเจ้าสามก๊ก ต่อไปเป็นรายละเอียดของศาลเจ้าแห่งนี้ คัดลอกจากวิกิพีเดียค่ะ

ศาลเจ้าสามก๊ก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่วัดอู่โหวซื่อ ที่เมือง
เฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน สร้างขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์จิ้นตะวันตก ด้านหลังของวัดเป็นที่ตั้งสุสานของพระเจ้าเล่าปี่และจูกัดเหลียง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงในสามก๊ก ซึ่งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีน เรื่องราวต่าง ๆ ในสามก๊กเริ่มต้นในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เนื่องจากในขณะนั้นเล่าปี่ปกครองและแต่งตั้งเสฉวนเป็นราชธานี โดยมีจูกัดเหลียงเป็นที่ปรึกษา ราษฏรใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่เมื่อเล่าปี่สวรรคตแล้ว ประชาชนต่างให้การยอมรับและนับถือจูกัดเหลียงมากกว่า จึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าขึ้นมาเพื่อเป็นที่เคารพบูชา แต่ไม่นานทางรัฐบาลจีนเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงมีคำสั่งให้สร้างศาลเล่าปี่ขึ้น รวมทั้งให้มีรูปปั้นขุนนาง 14 ท่านภายในศาลเจ้า


ศาลเจ้าสามก๊ก ก่อสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 766 หรือเมื่อประมาณ 1,700 ปีมาแล้ว เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สามก๊กในสมัย พ.ศ. 763 - พ.ศ. 823 สร้างขึ้นโดยพระบัญชาของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฉิงปลายราชวงศ์จิ๋น ในอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 3,700 ตารางเมตร สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในศาลเจ้าสามก๊ก เป็นผลงานการก่อสร้างที่ได้รับการปรับปรุงขึนในปีที่ 11 ของจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง และได้รับการยกย่องเป็นโบราณสถานแห่งชาติของจีนในปี พ.ศ. 2504 ต่อมาได้สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2527

ภายในศาลมีการแบ่งแยกพื้นที่ออกเป็นหลายส่วน รวมทั้งมีการแยกศาลต่าง ๆ ออกเป็นเฉพาะบุคคลคือศาลเล่าปี่ จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กและราชวงศ์ฮั่น ศาลเจ้ากวนอูที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของ 5 ทหารเสือฝ่ายบู๊ กวนอูเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์และกตัญญู จนได้รับการยกย่องจากชาวจีนให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์และโชคลาภ ศาลเจ้าจูกัดเหลียงที่มีความโด่งดังในด้านของสติปัญญาและความฉลาดเฉลียว ภายในศาลมีรูปปั้นจูกัดเหลียงขนาดใหญ่มีอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี ชาวจีนเรียกกันว่า "ทาสอุ้มทรัพย์" ตามความเชื่อต่อ ๆ กันขอชาวจีน ถ้าผู้ใดได้ลูบที่รูปปั้นจูกัดเหลียงแล้วจะมีโชคลาภ จูกัดเหลียงได้ชื่อว่าเป็นกุนซือหรือที่ปรึกษาคนสำคัญของเล่าปี่ที่มีความเฉลียวฉลาด วางแผนการรบและกลศึกต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน ชาวจีนส่วนใหญ่จะนับถือจูกัดเหลียงมากกว่าศาลเจ้าเล่าปี่และศาลเจ้ากวนอู จนมีการเรียกศาลเจ้าสามก๊กเป็นศาลเจ้าจูกัดเหลียงแทน นอกจากศาลเจ้าเล่าปี่ กวนอูและจูกัดเหลียงแล้ว ภายในบริเวณศาลยังมีรูปปั้นประวัติศาสตร์ของบุคคลสำคัญในสมัยราชวงศ์สู่ เรื่องราวต่าง ๆ จากตำนานอันยิ่งใหญ่ของสามก๊กของบุคคลอื่น ๆ อีกเช่น โจโฉ เตียวหุย และอีก 14 เสนาธิการทหารเอก

แต่เดิมสุสานของพระเจ้าเล่าปี่และจูกัดเหลียงไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ได้มีการย้ายศาลจูกัดเหลียงจากเมืองเซ่าเฉิงมาอยู่ในบริเวณใกล้กันในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ ในราวปี พ.ศ. 963 - พ.ศ. 1132 จนถึงยุคราชวงศ์หมิงจึงรวมสุสานและศาลเล่าปี่กับจูกัดเหลียงเข้าด้วยกัน และได้พัฒนาศาลเจ้าดังกล่าวโดยสร้างรูปปั้นขนาดใหญ่ของเล่าปี่ จูกัดเหลียง กวนอู และเตียวหุย เป็นประธานอยู่ในห้องโถงกลาง ด้านข้างมีรูปปั้นตัวละครและขุนศึกต่าง ๆ ในยุคสามก๊กประดับเรียงรายตลอดทางระเบียงเป็นที่สำหรับให้ประชาชนมาเคารพสักการะ ในเวลาต่อมาวัดอู่โหวซื่อก็กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อศาลจูกัดเหลียงหรือศาลเจ้าสามก๊ก และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเฉิงตูในปัจจุบัน

China Trip (ตอน 8)

22 ตค. 52 วันนี้ไปชมสะพานหลูติ้งเฉียว ตามโปรแกรมบอกไว้ว่าเป็นสะพานที่สร้างโดยใช้โซ่เหล็ก 13 เส้น สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์คังซี แห่งราชวงศ์ชิง ข้ามแม่น้ำต้าหู้เหอ

ในวันที่ 29 พค. 2478 เหมาเจอตุงที่พ่ายแพ้สงครามภายในประเทศได้เดินทางผ่านมายังเมืองนี้ และต้องการข้ามสะพาน แต่กองทัพของเจียงไคเช็ค ได้เผาทำลายสะพาน เพราะไม่อยากให้กองทัพแดงข้ามสะพานนี้ไปได้ หยางเชิงอู่ ผู้ซึ่งมีตำแหน่งในตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการของกองทัพแดงฝ่ายที่ 1 ได้จัดหาผู้กล้า 20 คน ไต่โซ่เพื่อข้ามฝั่งไปสู้กับทหารเชียงไคเช็ค สุดท้ายการรบครั้งนี้ทหารแดงเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและข้ามสะพานสำเร็จ เย้...

มันก็มีอีกว่าก่อนขึ้นสะพาน เนื่องด้วยฝนตกพรำ ๆ อีกด้วย มันก็ต้องปวดชิ้งฉ่องเป็นธรรมดา ก็ไปเข้าห้องน้ำสาธารณะที่ต้องเสียตังค์ด้วย คนละ 5 เหมา (10 เหมาเป็น 1 หยวน) เป็นเงินไทยก็ประมาณสองบาทห้าสิบ ก็สะอาดดี แต่กลิ่นต้องปรับปรุง หน้าตามันก็เป็นร่องยาว ๆ มีคอก เหมือนที่เคยเขียนไปแล้ว

พอเราข้ามสะพานกลับมาอีก ก็ปวดฉี่อีก ก็เข้าห้องน้ำอีก ก็จ่ายไปอีก 5 เหมาอีก ก็ลั่นล้าเข้าไป ประมาณว่าเมื่อกี้ส้วมนี่มันสะอาดดี แล้วตอนนี้...ไหงมีก้อนเหลือง ๆ เต็มไปหมดล่ะนั่น มันเก็บตังค์ แล้วมันก็ไม่เปิดให้น้ำไหล ล้างของเสียต่าง ๆ นานาออกไป เซ็งว่ะ เอาเปรียบผู้บริโภคชัด ๆ

วันนี้เราพักที่เมืองเฉิงตู ค่ำ ๆ หน่อยเราก็ไปดูโชว์เปลี่ยนหน้ากากที่ถนนวัฒนธรรมเจ๋งหลี่กัน ตอนแรกคิดว่าเป็นโรงละคร แต่เป็นลานโชว์ธรรมดา ๆ คนไทยเยอะเหมือนกัน ก็สนุกดี มีการแสดงหลายชุด จากชื่อที่ใคร ๆ พูดกันคิดว่าไฮไลท์ของการแสดงนี้คงเป็นการแสดงเปลี่ยนหน้ากาก เราดูก็งั้น ๆ ไม่เคยดู ได้ดูก็ดีอ่ะ

China Trip (ตอน 7)

จากนั้นเราก็จรลีไปยังอุทยานมู่เก๋าฉั้ว จากโปรแกรมบอกไว้ว่า เป็นสุดยอดอุทยานความงามที่ไม่เป็นรองใคร ไม่แพ้อุทยานระดับ 5 ดาว “จิ่วจ้ายโกว” ได้รับสมญานามว่า ดินแดนสวรรค์งามแห่งทะเลสาบพื้นพิภพ เป็นอุทยานที่มีชื่อเสียงของเมืองคังติ้ง เป็นทะเลสาบ 7 สี มีความงามเหนือพรรณา

ระหว่างเดินทางผ่านภูเขามากมายหลายลูก สวย ๆ กันทั้งนั้น เพราะมีใบไม้ผลัดใบ เป็นสีเหลือง น้ำตาล ทอง สลับกันไป สวยจริง ๆ มองแล้วเพลินเหลือเกิน แล้วภูเขาก็ไม่ค่อยมีรอยถลอกจากการกระทำของมนุษย์นัก


การขึ้นอุทยานของที่นี่ เช่นกัน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถของอุทยาน ซึ่งก็ลักษณะคล้าย ๆ มินิมัสบ้านเรานั่นแหละ มีการจอดรับระหว่างทางด้วย

ในช่วงที่เปลี่ยนรถนั้น พวกเราที่ปวดฉี่ก็พากันไปเข้าห้องน้ำ ก็ปรากฎว่าห้องน้ำที่นี่โสโครกกว่าที่อื่นที่ผ่านมา มันก็เป็นห้องน้ำปกติของเมืองจีนนั่นแหละ คือ เป็นร่องยาว ให้ทำธุระ แล้วก็มีคอกกั้นกันอุจาดตานิดนึง ไม่มีประตู ปกติแล้วถ้าห้องน้ำที่เป็นลักษณะร่องอย่างนี้ มันจะมีน้ำพัดพวกของเสียลงท่อหรืออะไรก็ตามออกไปบ้าง ไม่ให้มันค้างเติ่ง ตำตาตำใจ แต่ที่นี่ น้ำไม่พอ ก็ไม่น่าจะใช่ เอ...หรือว่าระบบการไหลของน้ำเสีย แต่ก็ช่างมันเถอะ รู้แต่ว่าไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่คนเราปล่อยทิ้งไว้ ไม่รู้ว่าตั้งกะเมื่อไร ตั้งแต่เช้า หรือวันไหน มันกอง ๆ กันอยู่ กลิ่นก็สุด ๆ ก็ได้แต่...โอ้ว มายก้อด เอาวะ มองผ่าน ๆ ไป ทำธุระตัวเองให้เสร็จไปซะ เฮ้อ...เมื่อไหร่เรื่องห้องน้ำจะพัฒนาเสียทีนะ ประเทศนี้

แล้วเราก็พากันขึ้นรถอุทยานไปดูของสวย ๆ งาม ๆ กัน แหม...มันช่างงดงามเสียนี่กระไร คือ ทะเลสาบนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่เต็มไปหมด แถมภูเขาก็เต็มไปด้วยใบไม้ผลัดสีอีก งามจริง ๆ แต่...ไม่ได้งามเหมือนกับที่โฆษณาไว้ขนาดนั้น หรือว่าเรามาไม่ตรงวันก็ไม่รู้ แต่ยังไงก็งามน่ะนะ ในระดับหนึ่งน่ะ

วันนี้เราไปพักกันที่เมืองคังติ้ง เป็นเมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง ไกด์บอกว่าแม่น้ำสกปรกขึ้นมาก น้ำไหลแรงมาก คิดว่าถ้าเราตกลงไป คงหาร่างไม่เจอเป็นแน่แท้

วันนี้เป็นวันโปรดอีกหนึ่งวัน ที่รู้สึกว่าเจอของสวย ๆ งาม ๆ แต่ก็ไม่น่ามาเจอห้องน้ำแบบนั้นเลย ก็คิดว่า...ไม่มีอะไรมันจะเพอร์เฟคไม่ทั้งหมดหรอกเนอะ มันต้องมีไม่ดีบ้าง เข้าใจค่ะ เข้าใจ

China Trip (ตอน 6)

21 ตค. 52 ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นเสียหน่อย ตามโปรแกรมเค้าว่าไว้ว่า ชื่นชมความงามของแสงอาทิตย์รุ่งอรุณแห่งวัน ซึ่งสะท้อนกับฉากหลังที่เป็นภูเขาการ์เซียน้ำแข็ง สวยดี เพราะที่บ้านเรามันไม่มีนั่นเอง

จากนั้นพวกเราก็นั่งรถบัสขึ้นไปกันอีก แล้วก็ขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขาการ์เซียน้ำแข็ง ระหว่างทางนั้นกระเช้าของเราเกิดความโกลาหลอลหม่านเสียเหลือเกิน ด้วยความที่มีตากล้องอยู่มากมาย ต่างพยายามหามุมกล้องอันสวยงาม เนื่องจากทิวทัศน์อันสวยงามวิจิตรบรรจง ตากล้องทั้งหลายแหล่จึงต้องการภาพอันสวยงาม ด้วยการขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไปมุมต่าง ๆ ในกระเช้า ซึ่งใช่ว่าจะกว้างขวางอะไรมากมายนัก ก็สนุกดี ถ้ามีกระเช้าตรงกันข้ามผ่านไป คงตกใจว่าทำไมกระเช้านั่นผู้คนมันถึงอลหม่านขนาดนั้น

ระหว่างทางในกระเช้า วิวทิวทัศน์ก็ว่าสวยงามแล้ว ยิ่งขึ้นไปถึงยอด ถึงจุดชมวิว ยิ่งงามขนาด งามมากมาย สวยกว่าที่เราเห็นในทีวีอย่างมากมาย เกิดมาไม่เคยเห็นทิวทัศน์ที่งามขนาดนี้มาก่อน ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง หมอก แสงแดดอ่อน ๆ เฮ้อ...สุดบรรยาย ต้องมาเห็นเอง แล้วจะรู้ว่ายังมีอะไรอีกมากมายนักในโลกใบนี้

ที่นี่ เราเห็นว่ามีคนรับจ้างหามเกี้ยวให้นักท่องเที่ยวได้ไปยังจุดชมวิวต่าง ๆ เนื่องจากว่าอาจจะเดินไม่ไหว กลัวลื่น อะไรทำนองนี้ ไกด์เล่าให้ฟังว่า ไอ้เจ้าพวกนี้น่ะ จะราดน้ำบนพื้น ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำแข็งบาง ๆ ทำให้ง่ายต่อการลื่นล้ม นักท่องเที่ยวจะได้จ้างพวกมันให้แบกไป ไกด์แนะว่าเดินให้ระวังด้วยแล้วกัน

ที่นี่อุณหภูมิประมาณ 4 องศา สูงกว่าที่วัดหัวจ้าง เล็กน้อย ก็เลยรู้สึกว่าหนาวแบบจิ๊บ ๆ

China Trip (ตอน 5)

20 ตค. 52 จากโปรแกรมทัวร์ วันนี้เราจะไปไห่หลัวโกว กัน ซึ่งจะลอดผ่านอุโมงค์เอ้อร์หลังซาน จากคำบอกเล่าของไกด์ (ถ้าจำมาไม่ผิด ถ้าผิดก็ขออภัย) อุโมงค์นี้จะทะลุภูเขาอินหยัง (หยินหยาง- ซึ่งประมาณว่าเป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน เช่น ร้อน-เย็น) ไกด์แกก็คงพูดเวอร์ไปบ้าง ประมาณว่าถ้าก่อนลอดอุโมง อากาศครึ้ม ผ่านอุโมงค์ไปแล้วอาจจะเจอหิมะ ฝนตก ทำนองนี้ เราก็...โม้ว่ะ ไม่เชื่อหรอก

ความจริงก็ปรากฎว่าก่อนลอดอุโมงค์นั้นอากาศก็ครึ้ม ๆ มัว ๆ อยู่บ้าง พอผ่านอุโมงค์แล้วอากาศก็สดใส มีแดด ก็..ไม่เห็นต่างกันเท่าไร ว่ากันว่าอุโมงค์นี้ยาวที่สุดในประเทศจีน ความยาว 4,175 เมตรทีเดียวเชียว

ตามโปรแกรมแล้ว ช่วงบ่ายเราได้ไปเที่ยวธารน้ำแข็งกัน แต่ก็...ไม่ได้ขึ้น เนื่องด้วยพวกเราเลทนั่นเอง ก็ไกด์บอกว่าวันนี้สบาย ๆ แล้วก็ไม่ได้เร่งพวกเราอะไรหนักหนา พอมาถึงเชิงเขากลับไม่มีรถขึ้นอุทยาน ต้องรออีกประมาณ 2 ชม. ก็เตร็ดเตร่กันไป ถ่ายรูปกันไป

หลังจากขึ้นเขาได้สำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว อากาศบนที่พักหนาวโคตร ๆ แถมฝนยังตกพรำ ๆ กันอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมฟ้าดินถึงกลั่นแกล้งคนเมืองร้อนอย่างเรากันด้วย ก็เลยต้องแต่งตัวได้หนาปั่กกันทั่วทุกคน

ที่นอนคืนนี้มีผ้าห่มไฟฟ้าให้ใช้กันด้วย ไอ้เราก็นึกว่า มันเป็นผ้าห่มที่เสียบปลั๊กไฟ เห็นภาพเป็นงั้น แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นแผ่นบาง ๆ วางอยู่กลาง ๆ ที่นอนซึ่งมีผ้าปูทับอีกที เสี่ยบปลั๊ก ไอ้เจ้าแผ่นนี้ก็จะอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ

ตื่นมากลางดึก จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอากาศมันร้อนระห่ำได้ใจอย่างมากมาย ตอนแรกนึกว่าอากาศมันแปรปรวน มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ หรือว่าเราอาจจะคิดไปเอง นอนยังไงก็ไม่หลับสักทีเพราะมันร้อนจนตับแทบแตก ก็เลยลุกไปเข้าห้องน้ำ สักพักจึงได้รู้สึกว่าอากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ถึงได้เข้าใจว่าไอ้เจ้าผ้าห่มนี่ มันทำให้อุ่นจนร้อนขึ้นนั่นเอง ร้อนจริง ๆ นะ ร้อนมากมาย

คืนนี้...คิดว่าทุกคนในกลุ่มทัวร์คงจะไม่ได้อาบน้ำกันเป็นแน่ เพราะโคตรหนาวเสียขนาดนั้น

China Trip (ตอน 4)

จากนั้นก็ไปยังวัดหัวจ้าง ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดพระโพธิสัตว์ผู่เสียน มีความสูงกว่า 41 เมตร สร้างด้วยทองสำริดทั้งองค์ เป็นองค์ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มี 10 พระพักตร์ประดิษฐานอยู่บนหลังช้าง 4 เศียร

ขอบอกว่าเราไม่มีบุญที่ได้เห็นเต็มองค์ เพราะหมอกมากมายมหาศาล แถมฝนยังตกพรำ ๆ อากาศทั้งหนาว ทั้งชื้น อุณหภูมิประมาณ 2 องศา หนาวได้มากมายก่ายกอง หนาวที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

ช่วงที่กำลังรอขึ้นกระเช้า (ลงเขา) ความที่อากาศมันหนาวอ่ะนะ ปวดฉี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ก็แวะห้องน้ำเสียหน่อย ปรากฎว่าสาวจีน รุ่นเอ๊าะ ๆ เธอเข้าห้องน้ำโดยที่ไม่ปิดประตูเล้ย เป็นสาวเป็นนางแท้ ๆ ด้วยความเป็นสาวไทยรูปร่างหน้าตาบอบบาง มีความรู้สึกละอายแทน จึงได้แต่จรลีจากห้องน้ำนั้นมาทั้ง ๆ ที่ปวดชิ้งฉ่องสุดฤทธิ์

จากนั้นเราก็ต้องนั่งรถปุเลง ๆ ไปวัดเป้ากั่ว (วัดตอบแทนคุณประเทศ) ไอ้ตอนที่เรานั่งรถไปน่ะ เราก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ไกด์เล่าอะไรให้ฟังก็ไม่เคยได้ฟัง จะตื่นมาอีกทีที่รถจอดให้เข้าห้องน้ำ พอเราทำธุระเสร็จเรียบร้อย คนในคณะก็คุยกันถึงเรื่องที่ไกด์เล่าไม่ว่าจะเป็นบูเช็คเทียน เตียวเสี้ยน ซึ่งเราก็งง ทำไมเราไม่เคยได้ยินเลยฟะ แถมมีเรื่องเหมาเจ๋อตุงอีก ก็ไม่เคยได้ฟังเลย นั่นแสดงว่า ตรูหลับมาตลอดทางจริง ๆ เหมือนกับเกิดมาไม่เคยได้นอนยังไงยังงั้น

ถึงวัดเป้ากั่ว ส่วนตัวเป็นวัดที่ชอบมาก เพราะมันดูเก่า ดูขลังดี เหมือนกับที่เราได้ดูได้เห็นในหนังจีนกำลังภายใน งามจริง ๆ ชอบมากมาย

วันนี้เราต้องไปพักที่เมืองหย่าอัน ระหว่างทางนั่ง ๆ นอน ๆ มองดูรถที่สัญจรกันไปมา ก็เห็นรถโฟล์ค PASSAT กันขวักไขว่ ก็คิดว่าคนจีนรวยกันเยอะว่ะ แต่จากที่ไกด์บอก ปรากฎว่ารถรุ่นนี้ผลิตที่ประเทศจีนนี่เอง ราคามันก็เลยต่ำหน่อย ประมาณห้าแสนกว่าบาท แต่คนที่จะมีรถใช้ได้ก็เป็นคนที่ต้องมีเงินเหมือนกันเพราะภาษีที่นี่แพงมาก

คืนนี้เราต้องเตรียมเสื้อผ้าไว้อีกกระเป๋าหนึ่งด้วย เพราะพรุ่งนี้เราจะไปพักที่บริเวณธารน้ำแข็งกัน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่นั้นไว้บนรถบัสด้านล่างเขา เพราะเราต้องนั่งรถของอุทยานขึ้นไป เอารถบัสขึ้นไปไม่ได้

China Trip (ตอน 3)

19 ตค. 52 วันนี้ไกด์บอกว่าหนาวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ก็เอาวะ เอาเสื้อกันหนาวที่ยืมมาใส่เสียหน่อย มันมีฮู้ดที่มีขน ๆ ด้วย เกิดมาไม่เคยใส่เสื้อผ้าประเภทนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาฮู้ดออก แต่มันกลับมีประโยชน์ตอนที่ลมเย็น ๆ มาปะทะแก้มตอบ ๆ ของเรา ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เสื้อกันหนาวประเภทแฟชั่นเท่านั้น มันมีประโยชน์แฝงอยู่ในตัวด้วยเหมือนกัน

วันนี้เราต้องขึ้นเขาง้อไบ้ (เอ๋อเหมยซาน) ที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักสำนักง้อไบ้จากหนังจีนกำลังภายในนั่นแหละ มันเป็นสำนักชีที่อยู่บริเวณด้านล่างเขานั่นเอง อันนี้อ้างอิงมาจากคำพูดของไกด์ ถ้าผิดก็ไม่ใช่ความผิดเรา ยกความผิดไกด์แต่เพียงผู้เดียว ช่างเป็นคนดีเสียจริง ๆ

จากโปรแกรมการเดินทางบอกไว้ว่า เอ๋อเหมย แปลว่า คิ้วโก่ง เพราะทิวเขามีลักษณะเหมือนคิ้วนักพรตในลัทธิเต๋า เข้ามาสร้างศาลเจ้าในเทือกเขาแห่งนี้ในศตวรรษที่ 2

แล้วเราก็นั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดทองคำ (เขาจินติ่ง) ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,077 เมตร

ตอนที่ไกด์บอกว่ากระเช้าเนี่ยะนะ มันจุได้หลายสิบคน เราก็นึกว่ามันคงจะใหญ่เบ้อเร่อเฮิ่ม เพราะปกติเท่าที่ที่เห็นกระเช้าลอยฟ้ามาบ้าง อะไรบ้าง มันจะยืนหรือนั่งกันได้สบาย ๆ แต่ที่นี่ไม่ใช่ค่ะ มันเป็นกระเช้าประมาณรถมินินัส แล้วคนก็เบียด ๆ กันเข้าไป แย่งกันเข้า แย่งกันออก ดีที่ไกด์แนะไว้ว่าถ้าเข้าไป ให้รีบไปที่มุมด้านใดด้านหนึ่งเลย จะได้ไม่ถูกเบียดมาก ก็เลยค่อยยังชั่ว ขาออกก็แย่งกันออกอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน

China Trip (ตอน 2)

ที่แรกที่เราไปก็คือเมืองเล่อซาน จากโปรแกรมการเดินทางบอกไว้ว่า เมืองนี้มีอายุกว่าหนึ่งพันสามร้อยปี ตั้งอยู่บนแม่น้ำ 3 สาย นั่นก็คือแม่น้ำชิงหยี แม่น้ำหมิน และแม่น้ำตู้ ต้องขึ้นเรือเพื่อไปชม “พระพุทธรูปเล่าซาน” หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า หลวงพ่อโต

จากวิกิพีเดีย บอกไว้ว่า พระพุทธรูปเล่อซาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเขาเล่อซาน เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับ เขาเอ๋อเหมย เมื่อปี พ.ศ. 2539

พระพุทธรูปเล่อซาน มีความสูงกว่า ๗๐ เมตร ไหล่กว้างกว่า ๒๐ เมตร พระเศียรสูงเท่าภูเขา พระบาทวางอยู่ริมแม่น้ำ พระหัตถ์วางบนเข่า พระพักตร์อิ่มเอิบสงบ

พระพุทธรูปเล่อซานเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยราชวงค์ถัง คือคริสต์ศักราช ๗๐๐ กว่าปี เริ่มต้นโดยมีพระชื่อไห่ทงเดินทางมาถึงเสฉวน และพบว่าเขาเล่อซานตั้งอยู่บนทางผ่านของแม่น้ำสามสาย จึงมักเกิดอุบัติเหตเรือล่มทำให้มีผู้คนเสียชีวิตบ่อยๆ พระไห่ทงจึงตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นตรงจุดนี้เพื่อให้พระคุ้มครองแก่ผู้เดินทาง ต่อมา มีชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาใช้ความพยายามและใช้เวลาอีก ๙๐ ปี สร้างพระพุทธรูปองค์นี้จนสำเร็จ พุทธศาสนิกชนจากท้องที่ต่างๆพากันมานมัสการเพื่อความสงบสุขแห่งจิตใจ

พวกเราลงเรือ ขึ้นดาดฟ้าเพื่อชมพระพุทธรูป พากันถ่ายรูปพรึ่บพรั่บ แต่ ณ ที่ดาดฟ้าเรือแห่งนี้ มีรั้วกันไว้ส่วนหนึ่ง ประมาณว่า...เป็นที่หากินสำหรับคนที่หากินกับการถ่ายภาพคนมีเงิน กับมุมสวยของพระพุทธรูปองค์นี้เอง


หลังจากเที่ยวชมการเรียบร้อยแล้ว สมควรแก่เวลาพวกเราก็พากันกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน ไม่งั้นจะเป็นหมีแพนด้าไปเสียก่อน

China Trip (ตอน 1)

สืบเนื่องจากอยากเที่ยวอย่างมากมาย พอมีคนมาชวนไปเที่ยวจีน ยังไม่ถามว่าไปที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ตกลงปลงใจไปด้วยทันที เป็นคนใจง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ

จากกำหนดการเดินทางแล้วจึงรู้ว่าตัวเองจะได้ไปที่อุทยานมู่เก๋อฉัว ทะเลสาบ 7 สี ไห่หลัวโกว-สวรรค์ธารน้ำแข็ง และเสริมบารมีกับพระโพธิสัตว์ผู่เสียน ทองคำ 10 เศียร อ่านกำหนดการเดินทางคร่าว ๆ จะจำได้ก็แต่เฉิงตู ภูเขาง๊อไบ๊ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ได้ยินบ่อย พอมีคนมาถามว่าไปไหนบ้าง ก็จะตอบได้แค่ว่าเฉิงตู ง๊อไบ๊ อย่างอื่นจำไม่ได้ อย่ามาถาม

แล้วก็ถึงวันเดินทาง วันที่ 17 ตค. 52 หัวหน้าคณะทัวร์นัดพร้อมกันที่สุวรรณภูมิตอนเที่ยงคืน มันก็คือวันที่ 18 นั่นแหละ แต่มันช่าง โอ้...แม่เจ้า ทำไมมันต้องบินดึกดื่นค่อนคืนขนาดนั้น ไอ้เรารึก็พยายามอย่างยิ่งที่จะนอนช่วงกลางวันเก็บแรงไว้ เพราะกลัวจะไม่มีแรงเที่ยวหลังจากลงเครื่องบิน พอตั้งใจจะนอนมันก็ไม่หลับ ก็ช่างมัน แต่ดีนะ ได้ดูมูยุลตอนจบ แม้มันจะไม่ประทับใจเท่าไรก็ตาม เอ๊ะ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเนี่ยะ

คณะทัวร์มีด้วยกัน 23 คน แต่เรารู้จักกับพี่ ๆ อีก 3 คน ก็ไม่เป็นไรเพราะเดี๋ยวมันก็ไปคุยไปรู้จักกันเองแหละ คนเรามันก็ต้องเปิดหูเปิดตากันบ้าง อะไรกันบ้าง

เราต้องนั่งเครื่องไปลงที่เซินเจิ้นก่อน ซึ่งก็โคตรดีเลย์ ก็เอาวะ...ทำไงได้ ก็ทนกันไป พอถึงเซินเจิ้น เราก็ต้องต่อเครื่องไปลงที่เฉิงตูต่ออีก เพราะเครื่องที่มันดีเลย์มาตั้งกะแรก มันก็ต้องดีเลย์กันไปอีก ดีเลย์กันมันส์ไปเลย

ขึ้นรถบัสได้ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ เป็นการเที่ยวที่แบบว่า...ตกลงว่าจะมานอนหรือมาเที่ยวกันแน่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

Sunday, October 4, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 10)

ข้ามมาวีคสุดท้ายเลยแล้วกัน เนื่องจากวีค 10 และ 11 นี้ไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไร อย่างว่าคนโปรดไม่อยู่ ดูแค่คลาสครูใหญ่ ซ้อมใหญ่ และคอนเสิร์ตจริงเท่านั้น

วันอาทิตย์มีปาร์ตี้ พยายามดูว่าจะมีเซอร์ไพรซ์อะไรอีกมั้ย ก็เอ่อ...มีอีกอ่ะ มีการนำเอาเด็กที่ออกจากบ้านทั้งแปดคนเข้ามาบ้าน เป็นของขวัญให้เด็กสี่คนที่อยู่ได้มาจนถึงวีคสุดท้าย ส่วนเจ้าอ๊อฟ ตัดผมอีกแล้ว แต่คราวนี้ดูใสกิ๊ง ดูเด็กขึ้นเยอะเลย น่ารักดี

แถมยังมีการให้เด็กนอกบ้านได้เข้ามาอาศัยนอนหลับพักผ่อน ดื่มกิน เล่าเรียนหนังสือหนังหา ในบ้านได้เหมือนกัน แต่...ก็มีการบ้านให้เด็ก ๆ นอกบ้านได้ทำด้วยก็คือ นำเอาเพลงของ “เฉลียง” มาร้อยเรียงในเวลาประมาณ 6 นาที ให้เด็ก ๆ เลือกเพลงเอาเอง ไม่พอ...ยังมีการให้เด็กนอกบ้านแต่งเพลงรุ่นอีกต่างหาก ทำให้ได้เห็นศักยภาพของเจ้าแท๊บบี้ที่แต่งเพลงได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ถึงแม้ว่าจะไม่จบก็ตาม ปรบมือดัง ๆ ให้แท๊บบี้ด้วยจ้ะ

แต่..การบ้านของเด็กนอกบ้านนั้น ต้องปกปิดไว้ไม่ให้เด็กในบ้านรู้เห็น ฉะนั้นเด็กทั้งแปดคนก็เลยต้องไปฝึกซ้อมที่พลาซ่าอันเป็นสถานที่รักของเหล่าเด็กนอกบ้านอีกครั้งหนึ่ง

วีคนี้ก็เลยได้เห็นเจ้าอ๊อฟเล่าเรียนแอคติ้ง แดนซ์ ร้อง อีกครั้งหนึ่ง ชอบเจ้านี่ร่ำเรียนเหลือเกิน มันดูตั้งใจดีมาก ๆ แล้วสิ่งที่แสดงออกมามันก็เลยดูดี ดูเจ๋ง

ดูจากซ้อมใหญ่แล้วเด็กสี่คนในบ้าน เตรียมเพลง ร้องเพลงได้ดีมากทุกคน ด้วยความสัตย์จริง เพราะว่าต่างคนต่างเลือกเพลงที่ชอบ มันก็เลยทำได้เต็มที่

คอนเสิร์ตคราวนี้เลยเป็นโชว์ที่ดีมาก ๆ ทุกคนร้องได้เจ๋งมาก รางวงรางวัลที่จำหน่ายจ่ายแจกก็เป็นที่สมควรแล้ว แถมเจ้าซานิยังได้เป็นนักล่าฝันหญิงคนแรกใน AF อีก เก่งมากเลยน้อง


** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **

Friday, October 2, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 9)

วีคแปด ในคอนเสิร์ตอาต้อย เศรษฐา ประกาศว่าวันอาทิตย์ 2 ทุ่มจะมีการแจกโจทย์ ซึ่งปกติแล้วอาต้อยไม่เคยประกาศเลย ก็สงสัย คิดว่า...ต้องเอาเด็กที่ออกกลับเข้ามาแน่เลย เพราะมัน 6 คนพอดี ร้องเพลงคู่แน่เลย แต่ผู้หญิงมี 7 คน ผู้ชาย 5 คน แล้วมันจะจับคู่กันยังไงล่ะ

2 ทุ่มวันอาทิตย์ มีการแจกโจทย์เพลง Featuring ให้เด็ก ๆ เลือกคนที่จะมา Feat. ด้วยต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็เอาเจ้า 6 คนเข้ามา feat. ทำเอาเด็ก ๆ กับคนดูเซอร์ไพรส์กันไป ไอ้เราก็คิดมันคงมันส์กันล่ะงานนี้ เด็กสิบสองคนกลับมาอยู่บ้านเดียวกัน คงยิ่งสนุกกว่าวีคแรกน่ะเนอะ

ปรากฎว่าเด็กที่ออกไปแล้ว ต้องออกไปอาศัยหลับนอนนอกบ้าน นั่นก็คือที่พลาซ่านั่นเอง ไม่ได้เรียนอะไรทั้งสิ้น ห้ามเข้าบ้านอีกต่างหาก คนในบ้านก็ห้ามออกนอกบ้าน จะคุยจะซ้อมกันก็ผ่านกระจกที่คั่นระหว่างตัวบ้านกับนอกบ้านเท่านั้น อะไรมันจะโหดขนาดนั้นหนอ
เจ้าอ๊อฟของเรามาคราวนี้ตัดผมซะหล่อเฟี้ยว หน้าใสกิ๊ง ได้เพลง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” ร้องคู่กับเจ้านิ อีกเพลง “อย่าทำให้ฉันรักเธอ” ร้องกับเจ้านุกนิก อู้ว์...ยากอีกแล้ว แต่เป็นการมาช่วยเพื่อนร้อง คงไม่กดดันเท่าไหร่ เจ้าอ๊อฟมันก็คึกคักสุดฤทธิ์ ตลกดี วีคนี้กระแสนิชาญแรงสุด ๆ น่ารักน่าลุ้นซะไม่มี

ทีมงานในวีคนี้ครีเอทกันมาก มีการเรียกนักล่าฝันทั้งสองฝั่ง แปะมือกันผ่านกระจก เปิดเพลง “ช่วงที่ดีที่สุด” บิวด์นักล่าฝันซะจนร้องไห้กันสุดฤทธิ์ เลยได้เห็นเจ้าอ๊อฟบอกรักเจ้าที “กูรักมรึงว่ะ” อู้ย...แมนได้ใจอีกแล้วน้องเอ๋ย ต่างคนต่างตาแดง ร้องไห้สะอึกสะอื้น คนดูก็ร้องไห้ตาม มันรักกันดีจริง ๆ นับถือทีมงานจริง ๆ ช่างครีเอทกันนัก

แถมวีคซ้อมใหญ่ ยังมีการแยกห้องซ้อมน้องนอกบ้าน ในบ้าน ให้อยู่คนละห้องอีกต่างหาก เปิดเพลง แล้วตัดภาพเป็นสองจอติดกัน ซ้อมร้องกันไป แหม...นับถือทีมงานวีคนี้จริง ๆ สร้างสรรค์เสียเหลือเกิน คนดูได้แต่อึ้ง เอ่อ...คิดกันได้เนาะ

พอถึงวันเสาร์ น้อง ๆ ก็ได้เจอกันเฉพาะตอนรันทรูเท่านั้น บล็อกก้งบล็อกกิ้งก็งที่เตรียมมาก็ต้องทำให้เสร็จช่วงนั้น เฮ้อ...ทำไมมันทรมานอย่างนี้หนอ ช่างเป็นเกมส์ที่น่าสนุกสำหรับคนดู แต่กับนักล่าฝันแล้ว นึกสงสารจริง ๆ

คอนเสิร์ตจริง ๆ เด็กนอกบ้านส่งให้เพื่อนทำโชว์ได้ดีมากจริง ๆ วีคนี้ดูทุกคนมีความสุขมากมาย กระแสนิชาญยิ่งทำให้มีความสุขเข้าไปใหญ่

เนื่องจาก NaaToy ก็อยู่ในกระแสนิชาญเหมือนกัน ก็เลยขอแปะ MV ของคุณหมาขาวใจดีสักหน่อย ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย MV นี้มันเกินคำบรรยายสำหรับวีคนี้จริง ๆ




ขอเพิ่ม MV ของคุณหมาขาวใจดีอีกเรื่อง แบบว่า...โดนกับเรื่องราวของวีคนี้อีกแล้ว ช๊อบ ชอบ อีกแล้ว ขอบคุณคุณหมาขาวใจดี๊ใจดีค่ะ

Thursday, October 1, 2009

ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 8)

วีคนี้เป็นวีคที่บรรดาแม่ ๆ จะเลือกเพลงมาให้ลูก ๆ นักล่าฝันได้ร้องกัน ตอนที่เจ้าอ๊อฟได้เจอแม่ แสดงออกไม่เหมือนใครจริง ๆ กระโดดถาโถมใส่แม่ซะจนแม่แทบหายใจไม่ออก แม่เจ้าอ๊อฟยื่นเพลง “สัญญาเมื่อสายัณห์” ให้ลูกเลิฟร้อง ไอ้เราก็...อ๊อฟมีอะไรให้ลุ้นอีกแล้ววีคนี้ เพลงลูกทุ่งน่ะนะ ไม่หมูนะ เอื้อนแบบลูกทุ่งด้วย ได้เราก็ได้แต่ เฮ้อ...ยากอีกแล้ว

พอดีเสาร์นี้ได้ดูรันทรู เจ้าอ๊อฟร้องเพลงผิดท่อน โอ๊ะโอ๊ย...น้องเอ๊ย คอนเสิร์ตจะเป็นยังไงบ้างเนี่ยะ ชอบให้ตื่นเต้นลุ้นระทึกทุกเสาร์เลยนะน้อง

คอนเสิร์ตจริง น้องเราก็ปากเหวอีกแล้ว พร้อมกับเจ้านุกนิกกับเจ้านิวตี้ ก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้านิวตี้ได้แน่นอน แต่ระหว่างนุกนิกกับเจ้าอ๊อฟนี่ซิ ในใจก็ยังเข้าข้างเจ้าอ๊อฟอยู่ แต่คะแนนวีคนี้น้องเราก็ต่ำเสียเหลือเกิน ก็กลัวใจจริงอ่ะ

ผลออกมา น้องเราก็ต้องออกจากบ้าน เอ่อ...น้ำตาคลอเฉยเลย คือเสียดายโอกาส อยากให้น้องได้เรียน พัฒนาตัวเองมากขึ้นกว่านี้เยอะ ๆ วันนั้นกว่าจะนอนหลับก็ตั้งตีสาม มาคิดว่าทำไมฉันต้องอินกับเจ้าอ๊อฟขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะเราติดตามเจ้านี่มาตลอด แล้วเห็นถึงความตั้งใจ พัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้เสียดายอย่างมากมายที่น้องต้องออกจากบ้าน แต่เกมส์ก็คือเกมส์ ก็พยายามเข้าใจน่ะนะ

วีคต่อมา ติดตามดูเฉพาะคลาสครูใหญ่ ซ้อมใหญ่ และคอนเสิร์ตวันเสาร์เท่านั้น ก็มันไม่สนุกแล้วนี่นา ไม่มีคนที่เราคอยเชียร์ คอยลุ้น คอยดูพัฒนาการในคลาสต่าง ๆ เซ็งจิตสุดฤทธิ์

** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **