Friday, March 28, 2008

เรื่องของการบริหารหน้าท้อง

สืบเนื่องจากช่วงนี้ กำลังฝึกท่า Plank อยู่ เพราะได้อ่านจากหลาย ๆ แหล่งข้อมูลแล้ว มันเป็นการบริหารกล้ามเนื้อได้หลายส่วนดี ถ้าจำไม่ผิด ก็ประมาณว่า หน้าท้อง หลัง ต้นขา
พอได้อ่านบทความ (จาก Ezinearticle) นี้แล้ว ก็เลยสนใจ แปลและเรียบเรียงไว้ให้อ่านกัน

การทำให้เอวให้เป็นเอว หน้าท้องแบนราบนั้น อาจจะเป็นหนึ่งในบรรดารางวัลที่คุณต้องการมากที่สุดในโลก และใช่ มันต้องใช้เวลาอันนานแสนนาน คนส่วนใหญ่คิดว่าภายในหนึ่งเดือนเขาหรือเธอ รูปร่างจะเหมือนนายแบบหรือนางแบบได้ แต่…มันไม่เป็นเช่นนั้น การได้มาซึ่งรูปร่างที่คุณต้องการนั้นมันต้องใช้อดทนอย่างสูง

แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้คุณมีรูปร่างสะโอดสะองได้ ปัจจัยสองประการที่สำคัญ ก็คือ โภชนาการที่ดี และการออกกำลังกาย (ทั้งการบริหารหน้าท้องและการฝึกคาร์ดิโอ) นั่นเอง ถ้าคุณไม่ทำ คุณก็ไม่ได้ผลตามต้องการ ก็แค่นั้น จึงขอสรุปว่าคุณจะต้องกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและออกกำลังกายด้วย

1. คาร์ดิโอ เป็นหนึ่งของการออกกำลังกายที่สำคัญยิ่ง มันจะช่วยให้รูปร่างของคุณดีขึ้น คุณควรฝึกคาร์ดิโอในช่วงเช้าให้เป็นนิสัย นอกจากระดับไขมันจะลดลงแล้ว มันยังช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นอีกด้วย

2. Bicycle Exercises ฝรั่งผู้เขียนเค้าเคยได้อ่านข้อมูลข่าวสาร และพบว่ามันเป็นการบริหารหน้าท้องที่ให้ผลดีมาก ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เค้าก็เลยนำเอาการบริหารท่านี้ไว้ในโปรแกรมการฝึกของเค้าด้วย ซึ่งได้ผลอย่างมากมายทีเดียว

3. Plank เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง เค้าบอกไว้ว่าเค้าฝึกท่า Plank ทุกวัน มันช่วยลดหน้าท้องได้

การออกกำลังกายข้างต้นช่วยส่งเสริมความแข็งแรงให้กับหน้าท้อง รวมทั้งบริเวณเอวด้วย แต่จงจำไว้ว่าคุณควรฝึกอย่างสม่ำเสมอ (แต่...ขอเวลาให้กล้ามเนื้อได้พักบ้าง) เพราะกว่าที่จะรู้ผลได้นั้นค่อนข้างใช้ระยะเวลายาวนาน แน่ล่ะว่ามันไม่ใช่การออกกำลังกายที่คุณทำได้ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว

Wednesday, March 26, 2008

การบริหารร่างกายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับคุณได้ (ตอน 4)

สืบเนื่องจากเคยเห็นเทรนเนอร์สอนสมาชิกซึ่งเป็นผู้หญิงเสียด้วยซิ ด้วยการฝึกดังที่จะกล่าวต่อไป ก็รู้สึกว่ามันน่าอันตรายเป็นยิ่งนัก ในใจก็ค้านสุดฤทธิ์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ที่ทำได้ก็คือ...ถ้าเป็นตัวเองจะไม่ฝึกดีกว่า รู้สึกว่าเสี่ยงจนเกินไป ก็เลยแปลให้อ่านกันซะ คิดว่าคงจะมีประโยชน์กันบ้าง

การบริหารด้วยท่า BEHIND THE NECK WIDE GRIP LAT PULLDOWN มีผลต่อ rotator cuff (ข้อต่อบริเวณไหล่) และ cervical spine (กระดูกสันหลังส่วนคอ) และยังง่ายต่อการทำผิดท่าทางถ้าคุณขาดความยืดหยุ่นที่ข้อไหล่ ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่บริเวณไหล่และคอ


ทางที่ดีควรจะฝึก close grip lat pulldowns ซึ่งเป็นการดึงจากด้านหน้าลงมาบริเวณ collarbone (กระดูกไหปลาร้า) จะปลอดภัยกว่า

Tuesday, March 25, 2008

การบริหารร่างกายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับคุณได้ (ตอน 3)

สืบเนื่องจากในอดีตกาลนานมา เคยบริหารหลังด้วยอุปกรณ์ BACK HYPEREXTENSION แล้วรู้สึกว่ามันโดน คือจะรู้สึกตึงบริเวณหลังล่าง แต่ไม่ถึงกับเจ็บปวดมากมายก่ายกองนัก

พอมาอ่านบทความที่กล่าวมาแล้วสองตอน ก็รู้สึกว่า อีกแล้ว...อุปกรณ์ที่ฉันชอบเล่น มันทำให้เกิดอันตรายได้อีกแล้ว แต่มันก็มีวิธีที่จะชดเชยกัน มาแทนกันได้เหมือนกัน งั้นก็ลองอ่านกันดู

เค้าบอกว่า...การบริหารร่างกายประเภทนี้ เป็นท่าที่ฝืนธรรมชาติ ซึ่งทำให้ปวดบริเวณหมอนรองกระดูก

เค้าบอกว่า...การแยกบริหารเฉพาะกล้ามเนื้อหลัง โดยไม่ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยซัพพอร์ตด้วยนั้น ก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่ง

และสุดท้าย เค้าบอกว่า...การที่จะทำให้หลังแข็งแรงขึ้นและลดอาการปวดหลังนั้น ให้บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรงจะเป็นการดีกว่า

Saturday, March 22, 2008

การบริหารร่างกายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับคุณได้ (ตอน 2)

ต่อจากบทความที่แล้ว และนี่คือเรื่องราวของการบริหารร่างกายด้วยท่า Leg Curl (ดูภาพได้จาก "วิธีการบริหารร่างกายเพื่อขจัดเซลลูไลท์ฯ") ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

ขาของเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อต่อ เอ็นเข่า (หรือข้ออื่น ๆ ก็ตาม) มันไม่ได้ถูกสร้างแยกออกมาเพื่อแบกรับน้ำหนักมากเกินไป

การฝึกด้วย Leg curls นั้น เป็นการพับ หรือดึงกระดูกหน้าแข้ง (tibia) กลับไปยังกระดูกต้นขา (femur) ซึ่งทำให้ข้อเข่าเกิดอาการปวด วิธีที่ดีเพื่อบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (HAMSTRING) นั้นควรจะเป็น squats, lunges หรือ deadlifts ซะมากกว่า

Friday, March 21, 2008

การบริหารร่างกายที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับคุณได้

สืบเนื่องจากบทความที่ผ่านมา มีการกล่าวถึงเรื่องการบริหารเพื่อลดการก่อให้เกิดเซลลูไลท์ ไม่นานนักก็ได้อ่านบทความอีกชิ้นหนึ่งเรื่อง 6 Potentially Dangerous Weight Training Exercises ซึ่งเค้ากล่าวไว้ถึงการบริหารด้วย Weight Training ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยรวบรวมมาจากงานวิจัย

จึงขอนำเสนอเรื่องของการบริหารด้วยท่า LEG EXTENSION ก่อน (และเช่นกัน NaaToy แปลและเรียบเรียงใหม่ โดยตัดทอนบางส่วน และหาข้อมูลอื่น ๆ มาเสริม เพื่อสร้างความเข้าใจให้ตนเองและคนอ่านอีก 2-3 คน ขอขอบคุณ EzineArticle และผู้อ่าน 2-3 คน มา ณ ที่นี้ )

LEG EXTENSION เป็นการออกกำลังกายแบบ isolated exercise – การบริหารด้วยการขยับจุดหมุนของข้อต่อเพียงจุดเดียว - โดยที่ patella (กระดูกสะบ้าหัวเข่า) ถูกดึงกลับไปยัง femur (กระดูกโคนขา) ทำให้เกิดการเสียดสี จึงเป็นเหตุให้เข่าด้านหน้าเกิดอาการปวด และนี่เป็นเหตุผลที่ดีว่าทำไมจึงควรหลีกเลี่ยงการบริหารร่างกายประเภทนี้

การทดสอบจากงานวิจัยยังพิสูจน์ว่ามันแทบจะไม่ได้ผลอะไรกับ quadriceps (กลุ่มกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า) เมื่อเทียบกับการฝึกแบบ compound exercise - การบริหารที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของข้อต่อมากกว่า 1 จุด ซึ่งช่วยให้สามารถฝึกกล้ามเนื้อหลายๆส่วนในขณะเดียวกัน - เช่น squats, leg press และ lunges

Friday, March 14, 2008

วิธีบริหารร่างกายเพื่อขจัดเซลลูไลท์ออกจากเรียวขาอันงดงาม

สืบเนื่องจากได้ยินเรื่องราวจากเพื่อนเจี๊ยบ เกี่ยวกับเซลลูไลท์และการบริหารของเธอ ที่ใช้เครื่อง Abductors and Adductor แล้วประมาณว่าได้ผล (ถ้าจำมาไม่ผิด) พอเห็นบทความ (ezinearticle.com) นี้ก็เลยนึกถึง แปลให้ได้อ่านกันอีกแล้ว

สำหรับคุณสาว ๆ แล้ว บริเวณที่เซลลูไลท์มักจะปรากฎกายให้เห็นก็คือ บริเวณต้นขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นขาด้านหลัง ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เจอะเจอกับความขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ เช่นนี้ อาจจะรู้สึกสิ้นหวัง หมดกำลังใจ ในการกำจัดมันออกไปจากชีวิต และบ่อยครั้งที่ต้องใช้เงินทองมากมายกับครีมต่าง ๆ เพื่อลบเลือนเจ้าตัวน้อยออกไปจากชีวิต และแทบจะไม่ได้ผลอะไรเลย แต่รู้มั้ยว่าสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้ต้นขาคุณเรียบเนียนขึ้นได้นั้น ก็คือการออกกำลังกายนั่นเอง

เมื่อคุณย่างก้าวเข้าฟิตเนสหรือยิมใด ๆ ก็ตาม คุณจะพบบรรดาอุปกรณ์บริหารร่างกายต่าง ๆ มากมาย อย่าสับสนงุงงงอะไรมากนัก เพราะส่วนใหญ่แล้ว ฟิตเนสหรือยิมจะจัดอุปกรณ์เหล่านี้เป็นกลุ่มเป็นพวกเข้าด้วยกัน ถ้าคุณจะบริหารขา อุปกรณ์ที่คุณต้องการนั้นก็จะอยู่ในบริเวณเดียวกัน จึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเดินพล่านไปทั้งยิม เอาล่ะ พอคุณพบอุปกรณ์ที่ต้องการแล้ว คุณก็ลองบริหารด้วยอุปกรณ์สัก 2-3 เครื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่ต้นขา เพื่อขจัดเซลลูไลท์ออกจากชีวิตของคุณ

Leg Curl
ช่วยบริหารขาด้านหลังโดยตรง เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการกำจัดเซลลูไลท์บริเวณขาด้านหลัง เริ่มต้นด้วยน้ำหนักเบา ๆ สัก 20 ครั้ง 2-3 เซต กำลังดี

Hip Abductors and Adductor
Hip abductor machine เป็นอุปกรณ์ที่มุ่งเน้นการบริหารต้นขาด้านใน ส่วน adductor machine นั้นช่วยบริหารต้นขาด้านนอก คุณแค่นั่งลงและบริหารต้นขาด้านนอกด้วยการดัน และแยกขาออกจากกัน และบีบกล้ามเนื้อขาเข้าหากันเพื่อบริหารต้นขาด้านใน บริหารสัก 2-3 เซต ๆ ละ 20 ครั้ง


Leg Press
ช่วยบริหารร่างกายช่วงขาทั้งหมด เป็นการบริหารแบบ compound movement – การบริหารร่างกายที่ใช้กล้ามเนื้อหลายมัดออกแรงร่วมกัน –


ยังมีการบริหารร่างกายอีกหลายประเภทที่ช่วยกำจัดเจ้าเซลลูไลท์ตัวน้อยออกจากต้นขา ที่กล่าวถึงมาข้างต้นนั้นเป็นการบริหารเบื้องต้นสำหรับคุณ ๆ ที่ต้องการจะได้ขากระชับ เรียบเนียน และจงจำไว้เสมอว่า ควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนการออกกำลังกาย เพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ

Wednesday, March 12, 2008

จำเป็นต้องออกกำลังกายที่ฟิตเนสหรือไม่???

ใช่ว่าทุกคนจะต้องไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส
แต่…คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ๆ ละ 30 นาทีนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง มันอาจจะยากลำบากสำหรับคนที่นั่งจ่อมดูทีวีทั้งวัน แต่ทันทีที่คุณเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำ คุณจะประหลาดใจกับประโยชน์ต่าง ๆ ของมัน พลังของคุณจะเพิ่มมากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น การทำงานประสานกันของร่างกายดีขึ้น อารมณ์ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น พอใจในตัวเองมากขึ้น สามารถจัดการความเครียดในการทำงานได้ง่ายขึ้น แล้วใครจะปฏิเสธได้ว่าในระยะยาวคุณจะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี และอายุยืนยาว

บางคนอาจจะสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนสเพื่อว่า จะได้เป็นการบังคับไปในตัวเพื่อนำเอาการออกกำลังกายมารวมในชีวิตประจำวัน แค่เพียงเห็นคนอื่น ๆ บริหารร่างกายกันก็เพียงพอสำหรับการเป็นแรงจูงใจแล้ว

แต่สิ่งสำคัญที่ควรต้องนำมาพิจารณาด้วย ไม่ว่าคุณจะเลือกออกกำลังกายประเภทใดก็ตาม นั่นก็คือคุณให้รวมเอากิจกรรมประเภท cadio (เช่น การวิ่ง) กับการฝึกด้วยเวท (เช่น การยกน้ำหนัก) มาไว้ในโปรแกรมการบริหารร่างกายของคุณด้วย คุณต้องฝึกสองสิ่งนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคุณผู้หญิง ก่อนจะอายุ 30 ปีบรรดาหญิง ๆ อย่างเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกด้วยการฝึกด้วยการยกเวทให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะเมื่ออายุมากกว่าสามสิบปีแล้ว การบริหารร่างกายด้วยการยกเวท จะเป็นแค่การรักษาความหนาแน่นของกระดูกที่มีอยู่แล้วเท่านั้น นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมการออกกำลังกายจึงสำคัญกับสาว ๆ อย่างยิ่ง มันเป็นการช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนนั่นเอง

สรุปแล้ว การมีชีวิตยืนยาว สุขภาพแข็งแรง คุณต้องออกกำลังซะเดี๋ยวนี้ รวมทั้งรวมเอาการออกกำลังกายไว้ในกิจวัตรประจำวันของคุณด้วย ไม่ว่าคุณจะไปฝึกที่ฟิตเนส หรือวิ่งที่สวนสาธารณะก็ตาม จงทำซะเดี๋ยวนี้
- ezinearticle.com -

Sunday, March 9, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนยี่สิบ)

24 กพ. 50
ต้องกลับบ้านแล้วซิเรา ไม่อยากเลย อยากเที่ยวต่อ อยากกินอะไรหวาน ๆ อยากรอกินกาแฟนาน ๆ ฯลฯ


จากโรงแรมไปที่ด่าน เราต้องนั่งแท็กซี่คันเดิม แต่…คราวนี้ โชเฟอร์ขับได้เรียบร้อยขึ้น อาจจะเป็นเพราะบทเรียนที่ได้รับเมื่อคราวที่แล้ว ที่เกิดการชนกันเล็กน้อย
คราวนี้พวกเราก็เลยหลับได้นานมากขึ้น ไม่ต้องสะดุ้ง ตระหนกตกใจ อยู่ตลอดเวลา
หรืออาจจะเป็นเพราะว่า...พวกเราเกิดอาการชินแล้วก็เป็นได้

ที่สุดเราก็มาถึงด่าน ด้วยอาการปกติ อวัยวะครบถ้วนดีกันทุกคน
จากนั้น ก็เดินเข้าประเทศไทย พร้อมด้วยอาการ…ไม่อยากทำงาน (อีกแล้ว)
เฮ้ออออออ

ANGKOR TRIP (ตอนสิบเก้า)

ปราสาทแปรรูป สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 16 (พ.ศ. 1504) รัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ศิลปะแบบแปรรูป

ปราสาทแปรรูป จัดเป็นปราสาทหลวงในรัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองพระนคร พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ทรงเลือกบริเวณทิศใต้ของบารายตะวันออกเพื่อตั้งเป็นเมืองหลวง และปราสาทแปรรูปแห่งนี้ อุทิศถวายให้แก่พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม

แปรรูป มาจากความหมายที่ว่าการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย สันนิษฐานจากลักษณะของหีบซึ่งทำจากหินทราย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ก่อนขึ้นไปสู่ปรางค์ประธาน หีบหินทรายนี้เป็นที่สำหรับบรรจุอัฐิของพระมหากษัตริย์ ปรางค์ประธาน ถูกสร้างอยู่เหนือฐานอิฐ 3 ชั้น แต่ละชั้นมีขั้นบันไดขึ้นไป 12 ขั้น รูปทรงลักษณะคล้ายปิรามิด ส่วนปรางค์บริวารทั้ง 4 อยู่บนฐานเดียวกัน

ภาพสลักพระอินทร์ ที่ทับหลังของปรางค์ประธาน มีภาพสลักพระอินทร์ซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันออก พวงอุบะ (พวงมาลัย) และเหล่าพรรณพฤกษาถือเป็นต้นแบบของศิลปะยุคแปรรูป ด้านข้างของเสากรอบประตูมีภาพสลักของเทพธิดาที่ดูทรุดโทรมลงไปบ้าง

บันไดขึ้นสู่ปรางค์ประธาน ค่อนข้างชันและแคบ เปรียบเหมือนผู้ที่จะเข้าสู่ปรางค์ประธานจะต้องมีการคาราวะ ก้มหน้าก้มตาขึ้นสู้บันไดด้วยความระมัดระวัง ปรางค์บริวารด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีภาพสลักของเทพธิดาที่งดงามอยู่บนอิฐและปูนปั้นโบราณของพระนางลักษมีและพระวิษณุ ภาพสลักพระนางอุมาเทวีและพระศิวะ ส่วนปรางค์ประธานที่อยู่ตรงกลางมีภาพสลักพระพรหม ซึ่งมี 4 หน้าและ 4 กร

จบการชมปราสาททั้งสิ้น 3 วันแล้ว เราขออำลาอาลัยกับปราสาทนครวัดเป็นครั้งสุดท้าย คือ…ขอได้แค่นั่งรถผ่านทั้ง 3 วัน แค่นั้นก็พอใจแล้ว

ขอบอกว่า…นครวัดเป็นปราสาทที่เราประทับใจสุด ๆ ในการเดินทางครั้งนี้

เย็นย่ำก็พากันไปกินข้าวที่ร้านเดิมอีก หวานเหมือนเดิม สั่งน้ำมะนาวปั่น รสชาดก็เป็นนมกลิ่นมะนาวเหมือนเดิม เจ้าน้องติดกาแฟงอมแงม ก็ต้องการกาแฟอีกแล้ว พอดี ๆ พวกเราเคยเล็ง ๆ ร้านในปั๊มน้ำมันไว้ร้านหนึ่ง เพราะเห็นว่ามีรูปแซนวิช แฮมเบอร์เกอร์ ก็เลยน่าลอง ขอแวะไปเยี่ยมไปชมไปชิมกันสักหน่อย คงจะดี

แล้วพวกเรา 4 คนก็เดินขบวนกันไป สั่งกาแฟ ชาปั่นไข่มุก ชามะนาว รสชาดก็หวานกันอีกแล้ว ที่เด็ดก็คือ ที่ก้นแก้วของชามะนาว เห็นน้ำตาลที่ยังไม่ละลายประมาณว่าสัก 2 ช้อนชา ก็สมแล้ว ที่จะหวานกันซะขนาดนั้น แต่ที่นี่ดีหน่อย ก็คือว่าไม่ต้องรอนาน หรือนานก็ไม่รู้ เพราะในร้าน มีซุปเปอร์มาเกตอยู่ด้วย ก็เลยแต๊ดแต๋ไปดูของฝาก ซึ่งไม่ได้อะไรติดมือมาเลยสักชิ้น ก็เลยกลายเป็นว่า ไม่ได้รอนานนัก รอไม่นาน ก็ไม่ชอบอีก ไม่เข้าใจตัวเอง ยังไงกันนี่

ANGKOR TRIP (ตอนสิบแปด)

ปราสาทนาคพัน สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ศิลปะแบบบายน

ในบรรดาปราสาทที่ก่อสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องยกให้ปราสาทนาคพันที่มีการก่อสร้างที่แปลกตามากที่สุด ตัวปราสาทตั้งอยู่กลางสระน้ำ เปรียบเสมือนเกาะอยู่กลางทะเล หรือเปรียบกับภูเขาหิมาลัยที่อยู่กลางมหาสมุทร น้ำจากสระแห่งนี้ถือเป็นน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือเปรียบประหนึ่งน้ำจากสระอโนดาต ซึ่งเป็นศูนย์รวมจากแม่น้ำทั้ง 5 ในอินเดีย ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมนา แม่น้ำเนรัญชลา แม่น้ำสินธุ และแม่น้ำพรหมบุตร ผู้ใดที่อาบหรือดื่มกินน้ำจากสระนี้โดยผ่านจากปากของราชสีห์ ช้าง ม้า และมนุษย์ที่อยู่ในศาลาทั้งสี่ทิศ เชื่อว่าจะสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้

หากเราสังเกตจะพบว่าปราสาทนาคพัน ถูกออกแบบเปรียบประหนึ่งถูกสร้างอยู่ใจกลางเกาะซึ่งมีน้ำล้อมรอบแต่ปัจจุบันบารายนั้นได้ตื้นเขินหมดแล้ว จึงมองภาพไม่ออกว่าปราสาทนี้ตั้งอยู่กลางน้ำอีกต่อไป

นาคพันรอบฐานปราสาท กลางสระน้ำเป็นที่ตั้งของฐานปราสาทที่มีลักษณะกลมเป็นชั้นๆ ที่ฐานหรือชั้นล่างสุดของฐานปราสาทนี้ เป็นนาคเจ็ดเศียรสองตัวที่หางเกี่ยวพันกันทางทิศตะวันตก ลำตัวโอบล้อมฐานหันหน้ามาทางทิศตะวันอออก นาคสองตัวนี้เชื่อกันว่าเป็นพญานาคที่ชื่อว่านันทะและอุปานันทะ

ภาพสลักที่ปรางค์ประธาน ตรงกลางของสระมีบันไดขึ้นไป 7 ชั้น สู่ปรางค์ประธานซึ่งอยู่ตรงกลาง ทางเข้าอยู่ทิศตะวันออก ส่วนอีก 3 แห่งรอบปราสาทเป็นประตูหลอก ที่มุมของปรางค์ประธานมีรูปพญาครุฑ ด้านหลังของปรางค์ประธานมีภาพสลักคติธรรมทางพุทธศาสนา แต่ภาพเหล่านี้ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นความเชื่อตามศาสนาฮินดู เช่น ภาพสลักเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ภาพนี้ถูกดัดแปลงให้มีรูปลักษณะคล้ายศิวลึงค์ อีกภาพหนึ่งเป็นภาพสลักเมื่อพระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ก็ถูกดัดแปลงเช่นกัน

ประติมากรรมลอยตัวรูปม้าพลาหะ อยู่ด้านหน้าของปรางค์ประธานด้านทิศตะวันออก ม้าพลาหะเป็นอวตารหนึ่งของพระโพธิสัวต์อวโลกิเตศวร ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อพ่อค้าจากอินเดียลงเรือสำเภาเพื่อเดินทางไปยังเกาะศรีลังกาเกิดพายุระหว่างทาง เรือถูกพายุโหมกระหน่ำจนเรือแตก พระโพธิสัตว์ได้แปลงพระองค์เป็นม้ามีปีกลงไปให้ความช่วยเหลือคนที่อยู่กลางมหาสมุทรได้อย่างปลอดภัย ม้าพลาหะเปรียบเสมือนยานพาหนะลำใหญ่ที่พาผู้คนสู่มรรคผลนิพพาน

รูปสลักคน ราชสีห์ ม้า ช้าง รูปสลักในศาลาทางด้านทิศตะวันออกมีลักษณะเป็นใบหน้าของมนุษย์ ส่วนทางด้านทิศใต้เป็นรูปใบหน้าราชสีห์ รูปของม้าอยู่ทางด้านทิศตะวันตก และรูปของช้างอยู่ทางทิศเหนือ สันนิษฐานว่ารูปสลักใบหน้ามนุษย์เดิมทีเป็นหน้าของวัว เพื่อให้สอดคล้องกับคติธรรมทางศาสนาฮินดูเช่นเดียวกับภาพสลักพระพุทธเจ้าที่ถูกสกัดใบหน้า ลำตัว แขน ออกให้เหลือฐานกับลำตัวมองดูคล้ายศิวลึงค์ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8

ANGKOR TRIP (ตอนสิบเจ็ด)

ปราสาทบันทายสำเหร่ สร้างกลางปีพุทธศตวรรษที่ 17 รัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และต่อเติมโดยพระเจ้ายโศวรมันที่ 2 ศิลปะแบบนครวัด
ปราสาทบันทายสำเหร่ ตั้งอยู่ไกลจากปราสาทในกลุ่มเมืองพระนคร ปราสาทแห่งนี้คล้ายกับปราสาทหินพิมาย ช่องทางเดินระหว่างปราสาทแต่ละหลัง ดูแออัดคับแคบ บรรณาลัยทางด้านเหนือและด้านใต้แทบจะอยู่ติดกัน

ปราสาทแม่บุญตะวันออก สร้างในปลายปีพุทธศตวรรษที่ 15 (พ.ศ. 1495) รัชสมัยของพระเจ้าราชทรวรมันที่ 2 ศิลปะแบบแปรรูป
ก่อนที่จะมีการสร้างแม่บุญตะวันออกขึ้น พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ทรงสร้างบารายทางทิศตะวันออก โดยมีพระประสงค์เพื่อให้มีน้ำใช้กันทั้งเมือง บารายนี้มีความยาว 7 กิโลเมตร และกว้าง 1.8 กิโลเมตร มีความลึก 4 เมตร เก็บน้ำได้ถึง 55 ล้านลูกบาศก์เมตร บารายนี้ถูกขนานนามว่า ยโศธรตฏากะ หรือสระน้ำของพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ซึ่งได้น้ำจากแม่น้ำโรลัวะไหลเข้ามายังบารายแห่งนี้
เช่นเดียวกับปราสาทแปรรูป ปราสาทแม่บุญตะวันออก เปรียบประหนึ่งวิหารที่อยู่บนยอดเขา เพราะความสูงทั้ง 3 ชั้นของปราสาท จากพื้นถึงยอดปรางค์ประธานมีความสูงถึง 28 เมตร กำแพงล้อมรอบปราสาทกว้าง 121 เมตร ยาว 126 เมตร ฐานชั้นล่างของปราสาทกว้าง 104 เมตร ยาว 108 เมตร ชั้นบนสุดของปรางค์ทั้ง 5 หลัง ถูกสร้างอยู่บนฐานเดียวกัน ที่ทับหลังของปรางค์ประธานมีภาพสลักของคชลักษมี ที่อยู่ทางซ้ายและขวาของพระนางลักษมี โดยชูงวงขึ้นประสานกัน

ปราสาทตาสม สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1724-1763) รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และทำการขยายเพิ่มเติมในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ศิลปะแบบบายน
ปราสาทตาสม เป็นปราสาทขนาดเล็กหากเปรียบเทียบกับปราสาทตาพรหมหรือปราสาทบันทายกเดย
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ลักษณะเด่นของปราสาทตาสมอีกอย่างก็คือพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งอยู่บนยอดของปรางค์ประธานและโคปุระที่กำแพงด้านนอกมีพระพักตร์ทั้งสี่ทิศรูปแบบลักษณะเช่นนี้เหมือนกับปราสาทบายน

Friday, March 7, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนสิบหก - ประสาทบันทายสรี ๒)

จุดเด่นของโคปุระ อยู่ที่หน้าบัน มีภาพสลักพระศิวนาฎราช ภาพการร่ายรำของพระศิวะนับว่ามีบทบาทสำคัญในคติความเชื่อของผู้นับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย พระศิวะในภาพหนึ่งเศียร สิบกร พระเกศาทรงฏามกุฎ ร่ายรำอยู่เหนือพวงพฤกษาการร่ายรำของพระศิวะเป็นที่เลื่องลือและยกย่องของเหล่าเทพทั้งมวลถึงความสวยงามน่ายำเกรง นอกจากนี้ ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูยังเชื่อว่าจังหวะการร่ายรำของพระศิวะอาจบันดาลให้เกิดผลดีและผลร้ายแก่โลกได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอ้อนวอนให้พระองค์ฟ้อนรำในจังหวะที่พอดี โลกจึงจะร่มเย็นเป็นสุข หากพระองค์โกรธกริ้วด้วยการร่ายรำในจังหวะที่รุนแรงแล้วก็ย่อมจะนำมาซึ่งภัยพิบัติแก่โลกนานัปการ

บรรณาลัย ถัดจากโคปุระมาทางซ้ายหรือทิศใต้ เป็นบรรณาลัยที่อยู่ในสภาพที่สวยงามและดูสมบูรณ์มาก ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นเล็กน้อย ลักษณะทำเป็นสองชั้น จุดเด่นของบรรณาลัยนอกจากกรอบประตูเสาประดับกรอบประตูทำเป็นวงประดับด้วยลายใบไม้ศิลปะบันทายสรี ที่หน้าบันสลักเรื่องรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฑ์ยกเขาไกรลาศให้เข้าที่ โดยเรื่องมีอยู่ว่า ครั้งที่ท้าววิรุฬหกสำคัญผิดไปว่าพระศิวะเสด็จออก พอขึ้นบันไดเขาไกรลาศขั้นหนึ่งก็กราบถวายบังคม ขณะนั้นมีตุ๊กแกตัวหนึ่งเกาะอยู่ตรงบันดี่วิมานพระศิวะ ตุ๊กแกเห็นท้าววิรุฬหกหลงกราบทุกขั้นบันไดก็ให้นึกสนุก จึงแกล้งกระแอมให้คล้ายเสียงคน ทำให้ท้าววิรุฬหกต้องถวายบังคมทุกขั้นบันได ครั้นเห็นตัวและรู้ว่าเป็นตุ๊กแกจึงโกรธ จึงถอดสังวาลออกขว้าง หวังจะประหารตุ๊กแกแต่พลาดเลยไปถูกเขาไกรลาศจนเอียงไป ทั้งพระศิวะและพระอุมาเทวีต่างตื่นตกพระทัยเข้าใจว่าเกิดแผ่นดินถล่ม พอพระองค์ทราบความก็ได้กะเกณฑ์เหล่าเทพเทวดามาช่วยยกเขาไกรลาศขึ้นตั้งไว้อย่างเดิม ความชอบนี้ทศกัณฑ์ได้ทูลขอพระอุมาเทวีจากพระศิวะ ซึ่งพระองค์ทรงประทานให้ ทศกัณฑ์ดีใจจึงได้อุ้มพระอุมาไปจากวิมานพระศิวะ แต่ไปได้สักพัก ทศกัณฑ์รู้สึกประหนึ่งถุกไฟสุมทรวงและร้อนผ่าวไปทั้งศีรษะ มิอาจเดินทางต่อไปได้ จึงได้พาพระอุมาเทวีมาคืนแด่พระศิวะ พระศิวะก็ทรงเมตตา ประทานนางมณโฑให้เป็นบำเหน็จ ในภาพสลักที่หน้าบันจะเห็นภาพพระศิวะกำลังอุ้มพระอุมาเทวีอยู่บนตัก ด้วยความตื่นพระทัย ท่ามกลางเขาไกรลาศที่เอียงลง มีพวงช้างและสิงห์ซึ่งจัดว่าเป็นเจ้าแห่งพลังต่างตกใจเงยหน้าทำท่ากลัวเกรง นับได้ว่าเป็นภาพสลักที่มีชีวิตชีวาที่สุดภาพหนึ่ง

ความสวยงามของปราสาทบันทายสรีนี้ช่างในสมัยโบราณได้สร้างอย่างบรรจงและยังได้รวบรวมเอาศิลปะในยุคเก่าหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแบบพระโค ศิลปะแบบบาแค็ง ศิลปะแบบเกาะแกร์และแปรรูป มาอนุรักษ์ไว้ ณ ปราสาทแห่งนี้ ดูได้จากเสาติดกับผนัง เสาประดับกรอบประตู ทับหลังและหน้าบัน สำหรับภาพเทวดาและเทพธิดาที่สลักอยู่ประจำผนังเทวลัย ก็มีลักษณะน่าชมมาก เนื้อตัวไม่ใหญ่โค แต่ดูอวบอิ่ม ประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ดูสวยงามมาก ยืนอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว นางอัปสรยืนอยู่ในท่าที่ชวนพิศเอียงสะโพกเล็กน้อย ทรงผมเกล้าเรียบๆ ประดับด้วยศิราภรณ์เล็กน้อย มีต่างหูประดับฝีมือประณีต ตุ้มหูคล้ายพวงอุบะ (มาลัย) ยาวเสมอไหล่ เอียงคอเล็กน้อยมือจับจีบดอกบัว ใส่กำไลทั้งมือและท้าว สวมผ้ามีกระเปาะจีบอยู่ด้านหน้า รอบๆ สะโพกมีลายคล้ายดวงดอกไม้ ดูแล้วเป็นธรรมชาติมาก

ขอบอกว่า ปราสาทนี้ภาพแกะสลักสวยงามมากมาย ดูแล้วไม่มีเบื่อเลย ฝีมือช่างสมัยนั้นดีมากจริง ๆ ภาพที่ถ่ายมา งามยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของภาพสลักจริง ๆ เลย ทั้งอึ้ง ทั้งทึ่งอีกแล้วเรา

ANGKOR TRIP (ตอนสิบหก - ประสาทบันทายสรี ๑)

ปราสาทบันทายสรี สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 16 รัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ศิลปะแบบบันทายสรี

ตามจารึกที่ปราสาทบันทายสรีกล่าวว่าปราสาทแห่งนี้สร้างใน พ.ศ. 1510 โดยยัชญวราหะ ซึ่งเป็นพราหมณ์นักปราชญ์ เมื่อพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 เสด็จสวรรคต พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งเป็นราชโอรสจึงขึ้นครองราชย์แทน เนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ยังทรงพระเยาว์อยู่ พราหมณ์ยัชญวราหะจึงได้ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเป็นพระอาจารย์ให้กับพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ไปพร้อมๆ กัน พราหมณ์ยัชญวราหะได้ทูลขอที่ดินแปลงหนึ่งจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 เพื่อมาสร้างปราสาทเพื่อบูชาพระศิวะ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของราษฎร
และเป็นที่น่าสังเกตว่าปราสาทที่พระเจ้าแผ่นดินสร้าง กับปราสาทที่เสนาบดีหรือข้าราชการชั้นสูงสร้างจะต่างกันที่ฐาน ปราสาทที่พระเจ้าแผ่นดินสร้าง จะสร้างอยู่บนฐานที่ทำเป็นชั้นสูง หรือสร้างบนเนินเขาดังเช่น นครวัด ที่ส่วนปรางค์ประธานจะต้องตั้งอยู่ฐานชั้นสูงหรือที่พนมบาแค็ง ที่ปราสาทสร้างอยู่บนเนินเขา สำหรับปราสาทบันทายสรี ผู้สร้างเป็นราชครู จึงต้องสร้างปราสาทบนเนินดินอาจทำเป็นฐานเตี้ยๆ ยกพื้นขึ้นเพื่อรองรับตัวปราสาทเท่านั้น

ปราสาทบันทายสรี เป็นเทวสถานขนาดเล็ก แต่มีความงามทางด้านลวดลายเป็นเลิศ ศิลปะมีลักษณะพิเศษจนต้องจัดเป็นศิลปะสมัยหนึ่งโดยเฉพาะ ศิลปะแบบบันทายสรีถูกจัดให้อยู่ในยุคราว พ.ศ. 1510-1550 ก่อสร้างด้วยหินทรายสีชมพู เนื้อละเอียด การสลักลวดลายดูอ่อนช้อย ลายคมชัด ดูมีชีวิตชีวา

ภาพสลักพระศิวะนาฎราช เมื่อผ่านโคปุระซึ่งเป็นกรอบประตูมีความสูงประมาณ 2.50 เมตร ทางเข้าปูลาดด้วยหินทราย กว้างประมาณ 60 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1 เมตร ไปตลอดแนวประมาณ 40 เมตร สองข้างทางมีเสานางเรียงสูงประมาณ 1.50 เมตร ไปจนถึงโคปุระชั้นใน ที่หน้าจั่วของโคปุระชั้นในนี้เป็นลายก้านขดคล้ายกับปั้นลมที่ปราสาทเขาพระวิหารมาก เพียงแต่ที่ปราสาทบันทายสรีมีขนาดเล็กกว่า

หน้าบันของโคปุระชั้นใน สลักเป็นภาพพระคชลักษณมี ในภาพพระลักษณมีประทับอยู่ตรงกลางมีคชสารสองเชือกชูงวงประสานกันโดยรอบเป็นลวดลายพฤกษานานาพรรณ สลักได้คมชัดและดูอ่อนช้อย ที่ทับหลังทำลวดลายพวงมาลัย ลักษณะเด่นของศิลปะแบบบันทายสรีตรงกลางพวงมาลัยสลักให้แอ่นอ่อนลงมา ไม่ทำเป็นแนวตรงๆ ดังศิลปะยุคอื่นๆ เมื่อเข้าสู่โคปุระชั้นในจะพบว่าส่วนฐานของปราสาทประดิษฐานด้วยเทวาลัยอยู่ตรงหน้า มีประติมากรรมลอยตัวรูปโคนนทิ ด้านหลังของเทวาลัยมีปราสาทสามหลังอยู่บนฐานเดียวกัน มีหอบรรณาลัย(ห้องสมุด)อยู่ทั้งซ้ายและขวา

ANGKOR TRIP (ตอนสิบห้า)

23 กพ. 51
ปราสาทกระวาน
สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 15 รัชสมัยของพระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 ศิลปะแบบบาแค็งและเกาะแกร์

คำว่า กระวาน แปลว่า ดอกนมแมว ซึ่งเคยมีอยู่มาก รอบปราสาทแห่งนี้

ปราสาทกระวานเป็นปราสาทขนาดเล็กสร้างบนฐานเดียวกัน 5 ปราสาท เรียงกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ โดยการใช้อิฐก่อขึ้นเป็นรูปปราสาท

ปราสาทแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระวิษณุหรือพระนารายณ์ สังเกตได้จากภาพสลักที่ปรากฎอยู่ ณ ปรางค์ประธาน จะพบภาพสลักเป็นภาพวิษณุหรือพระนารายณ์ตรีวิกรม (ย่างสามขุม) และนารายณ์ทรงครุฑ ที่นอกปราสาททางด้านทิศเหนือยังมีภาพสลักพระนางลักษมี (ชายาของพระวิษณุ) อยู่ทั้ง 2 ด้านของผนัง

ภาพสลักปรางค์ประธาน ปราสาททั้ง 5 หลัง ถูกสร้างด้วยอิฐยกเว้นทับหลังและเสากรอบประตูเป็นหินทราย มีการสลักภาพพระอินทร์ทรงช้างเอรวัณที่ปราสาทองค์กลาง และยังมีภาพสลักการอวตารของพระนารายณ์เป็นพราหมณ์หลังค่อม การอวตารปางนี้ของพระนารายณ์เพื่อจะขอพื้นพิภพโดยการย่างสามก้าว เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว
ก้าวที่ 1 เป็นการก้าวสู่เทวโลก
ก้าวที่ 2 เป็นการก้าวไปสู่มนุษยโลก
และก้าวที่ 3 เป็นการก้าวไปสู่โลกบาดาล
หมายถึง การรวมเอาจักรวาลมาเป็นคำขอของพราหมณ์ผู้นี้ จะสังเกตเห็นได้ว่าในพระหัตถ์ของพระนารายณ์ทั้ง 4 กร ประกอบด้วย คฑา หอยสังข์ จักร และปฐพี ส่วนผนังที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของปรางค์ประธานเป็นภาพสลักพระวิษณุ 8 กร ประกอบด้วยเทวดาที่มาเฝ้าทั้งหมด 6 ชั้น และผนังด้านทิศเหนือเป็นพระวิษณุทรงครุฑ พาหนะพระจำของพระองค์

ANGKOR TRIP (ตอนสิบสี่)

ค่ำ ๆ พวกเราไปกินข้าวกัน แถว ๆ ประมาณว่า ตรอกข้าวสาร น่ะ คือ…เข้าไปในถนนที่มีคนต่างชาติเต็มไปหมด ทั้งฝรั่ง ทั้งเอเชีย ดูแล้วแบบเอ่อ…ฉันก็เป็นคนต่างชาติเหมือนกันนะเฟ้ย ความรู้สึกเป็นคนต่างชาติฮึกเหิมยิ่งนัก

กินอาหารตามสั่งกันไป ก็อร่อยดี ออกแนวหว๊าน หวาน เราสั่งน้ำสับปะรดปั่นมากิน มันคล้าย ๆ กับนมกลิ่นสับปะรดน่ะ คือ มันเน้นไปทางหว๊าน หวาน

แรก ๆ กินไปมันคือน้ำอะไรว้า พอใกล้จะหมดแก้วนั่นแหละ ถึงจะมีกลิ่นสับปะรด เพื่อเน้นย้ำว่านั่นคือน้ำสับปะรดจริง ๆ นะ ไม่ได้หลอก

แล้วเจ้าน้องติดกาแฟงอมแงม ก็ต้องการจะดื่มด่ำกับกาแฟอีกแล้ว เราสองคนก็เลยพากันไปที่ร้านที่ติดกับโรงแรม เป็นร้านอาหารอินเดีย ด้านหน้ามีป้ายเขียนอาหาร ราคา เสร็จสรรพ

เจ้าน้องคนนี้ก็สั่งกาแฟเย็นเหมือนเดิม แต่เป็นกาแฟใส่นม บริกรก็มาถามว่าจะกินที่นี่มั้ย พวกเราก็บอกไปคล้าย ๆ กับว่าจะนั่งกินที่นี่นะ แล้วพากันนั่งที่โต๊ะหน้าร้าน เค้าก็โอเค ๆ จัดให้ครับ

เรากับไอ้น้องคนนี้ ก็นั่งรอ ร้อ รอ ขอเมนูมาอ่านก็แล้ว ก็ยังไม่มา ขนาดเราไปซื้อเครื่องดื่มกระป๋องจากร้านข้าง ๆ ก็แล้ว กาแฟเย็นก็ยังไม่มา

เราสองคนก็เลยสรุปกันว่า กาแฟที่กัมพูชานี่นะ มันคงจะชงยาก ต้องใช้ความปราณีตอย่างสูง กว่าจะได้สักแก้วนี่นะ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที

และแล้วกาแฟของเจ้าน้องติดกาแฟก็มาถึง เป็นกาแฟปั่นใส่ถุงก๊อบแก๊บ มัดปากถุงด้วยหนังยางอย่างดี พร้อมหลอดดูด สรุปได้อีกว่า ที่นี่ไม่มีถ้วยกาแฟ

ถ้าไม่กินในร้าน ก็ต้องใส่ถุงก๊อบแก๊บ ไม่ว่าจะเป็นในตลาด หรือร้านค้าทั่วไป ก็ตาม

มันก็สนุกดี เห็นอะไรแปลก ๆ แต่เจ้าน้องคนนี้ก็บอกว่า กาแฟเจ้านี้ น่าจะเป็นเนสกาแฟซอง เอามาปั่นกับน้ำแข็ง แต่…อร่อยกว่าร้านเมื่อวานเยอะ โอเค โอเค รับได้ค่ะ

Thursday, March 6, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนสิบสาม)

ปราสาทตาแก้ว
สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 16 รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5

จุดประสงค์ของการสร้างปราสาทนี้ก็เพื่ออุทิศให้แด่พระศิวะศาสนาฮินดูที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ทรงนับถือ แต่พระองค์ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์แก่พุทธศาสนานิกายมหายานอย่างเปิดเผยเช่นกัน

ปราสาทตาแก้วเป็นปราสาทแรกที่ทดลองนำหินทรายมาสร้าง มีลักษณะเป็นปราสาท 5 หลัง ก่อด้วยหินเป็นชั้น 5 ชั้น สูง 20 เมตร ในชั้นที่ 2 มีระเบียงคตยาวติดต่อล้อมรอบ เป็นปราสาทที่ถูกเรียกว่าปราสาทโกลน หมายความว่าเป็นปราสาทที่ยังสร้างไม่เสร็จดี จารึกไม่ได้ระบุว่าพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 ผู้มีศักดิ์เป็นพระนัดดาขึ้นครองราชย์ต่อมา ทรงสร้างปราสาทต่อหรือไม่ เพราะเป็นการขึ้นครองราชย์ช่วงสั้นๆ จวบจนพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ขึ้นครองราชย์ จึงทรงสร้างปราสาทตาแก้วต่อจนสิ้นรัชกาลก็ยังไม่เสร็จ

มีข้อสันนิษฐานที่ปราสาทเป็นปราสาทโกลนหรือสร้างไม่เสร็จอาจเป็นเพราะหินทรายที่นำมาก่อสร้างนั้นมีความแข็งจนยากต่อการแกะสลักภาพก็เป็นได้ หรืออาจเกิดสงครามจึงต้องเกณฑ์ผู้คนไปทำการรบ ทำให้การก่อสร้างขาดช่วงไป หรือกระทั่งการเกิดฟ้าผ่า ซึ่งเป็นความเชื่อว่าไม่เป็นที่ปรารถนาของเทพเจ้าจึงต้องหยุดการสร้างปราสาทไปเป็นปราสาทแรกที่ช่างขอมสามารถสร้างปราสาทด้วยหินทราย มีปราสาท 5 หลังอยู่บนฐานเดียวกันได้สำเร็จเป็นครั้งแรก (จากเดิมที่ใช้อิฐสร้างตัวปราสาท)


ปราสาทธรรมานนท์
สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 17 รัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ศิลปะแบบนครวัด

ปราสาทล้อมรอบด้วยคูน้ำที่ขอมโบราณเชื่อว่าเป็นน้ำที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ตัวปรางค์ของปราสาทยังสภาพดีอยู่ แต่กำแพงล้อมรอบพังทลายไปหมดแล้ว เหลือโคปุระซึ่งมีสัดส่วนกะทัดรัด

ปราสาทพนมบาแค็ง
ศิลปะแบบบาแค็ง สร้างในปี พศ.1450 สมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 อยู่บนยอดเขาบาแค็งสูง 67 ม. ใช้เวลาเดินเท้า 20 นาที

พวกเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ คนตรึมเลยค่ะ คือ...เราไม่ได้ขึ้นไปดูบนยอดปราสาทหรอก นั่งดูผู้คนเดินไปเดินมานั่นแหละ สังเกตดูคนไทยเยอะเหมือนกัน มีทั้งเด็ก ๆ หนุ่มสาว ผู้ใหญ๊ผู้ใหญ่ เดินฝุ่นตลบกันไปหมด

สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ส้นสูงปรี๊ด กางเกงขาสั้นสุด ๆ คิดดู ปีนบันไดปราสาททั้ง ๆ ใส่ส้นสูง กางเกงขาสั้น แต่...เค้ามากับแฟนหนุ่มไง คิดว่าคงสามารถออดอ้อนแฟนหนุ่มได้

ประมาณว่า...ใส่ส้นสูงปรี๊ด ขึ้นบันไดไม่ถนัด ก็จะโซซัดโซเซ เอียงแถดแถ๋ เข้าหาแฟนหนุ่ม แฟนหนุ่มอยู่ในช่วงอินเลิฟก็จะต้องประคองด้วยความเต็มใจ ด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น แหม...ช่างน่าอิจฉาเสียนี่กระไร

ANGKOR TRIP (ตอนสิบสอง)

ปราสาทตาพรหม
สร้างในปลายปีพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1729) รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการขยายพื้นที่สร้างต่อเติมอีกในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 เป็นศิลปะแบบบายน ถือเป็นวัดในพุทธศาสนาและเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คือพระนางชัยราชจุฑามณีผู้เปรียบประดุจกับพระนางปรัชญาปรมิตา ซึ่งหมายถึงเมื่อพระองค์เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระราชมารดาของพระองค์จึงเปรียบดังพระนางปรมิตาเช่นกัน

ปราสาทตาพรหมถูกสร้างเคียงคู่กับปราสาทพระขรรค์ สร้างหลังปราสาทพระขรรค์เพียง 5 ปี ถือเป็นวัดในพุทธศาสนาที่มีขนาดใหญ่คือมีปราสาทถึง 24 หลัง สันนิษฐานว่าปราสาทแห่งนี้อดีตเป็นทั้งพระอารามหลวงในศาสนาพุทธ และมหาวิทยาลัยสำหรับสอนภาษาสันสกฤตอีกด้วย

ที่น่าประหลาดใจคือพิธีในปราสาทยุคนั้น ซึ่งจารึกกล่าวถึงบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาทแห่งนี้คือ จำนวนคนและบรรดาทรัพย์สินจากหมู่บ้านจำนวนถึง 3,140 หมู่บ้าน ใช้คนทำงานถึง 79,365 คน และจำนวนนี้มีพระชั้นผู้ใหญ่ 18 รูป เจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,740 คน ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ประกอบพิธี 2,202 คน และนางฟ้อนรำอีก 615 คน สำหรับทรัพย์สมบัติของวัดก็มีจานทองคำ 1 ชุดหนักกว่า 500 กิโลกรัม และชุดเงินเพชร 35 เม็ด ไข่มุก 40,620 เม็ด หินมีค่าและพลอยต่างๆ 4,540 เม็ด อ่างทองคำขนาดใหญ่ ผ้าบางสำหรับคลุมหน้าจากประเทศจีน 876 ผืน เตียงคลุมด้วยผ้าไหม 512 เตียง ร่ม 523 คัน ยังมีเนย นม น้ำอ้อย น้ำผึ้ง ไม้จันทน์ การบูร เสื้อผ้า 2,387 ชุด เพื่อแต่งรูปปั้นต่างๆ กล่าวกันว่าความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความล่มสลายของอาณาจักรขอมในเวลาต่อมา

ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ถูกปล่อยให้อยู่กับธรรมชาติ หลังจากการค้นพบปราสาทต่างๆ โดยชาวฝรั่งเศส แต่เดิมปราสาทนครวัดเองก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ก่อนที่จะมีการบูรณะในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ในขณะที่ปราสาทตาพรหม - ในจารึกแล้วจริงปราสาทแห่งนี้มีชื่อว่าปราสาทราชวิหาร แต่เนื่องจากนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสไม่ได้อ่านจารึก จึงเรียกชื่อปราสาทแห่งนี้ตามชื่อคนดูแล จึงกลายเป็นที่มาของชื่อปราสาทตาพรหมจนถึงทุกวันนี้ - ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริงว่าปราสาทอยู่กับธรรมชาติมาได้เกือบ 500 ปี อันเป็นอีกมุมมองหนึ่ง เพื่อให้เห็นลักษณะของต้นไม้ที่เกาะกุมปราสาท

เดิมก่อนสร้างปราสาทนั้นสภาพบริเวณนี้เป็นป่ามาก่อน เมื่อจะสร้างปราสาทจึงต้องเคลียร์พื้นที่ให้เป็นที่โล่ง โดยการตัดไม้ออกแต่ในที่สุดแล้วธรรมชาติก็สามารถที่จะเอาชนะถาวรวัตถุที่ถูกสร้างจากมนุษย์ ต้นไม้ที่เกาะกุม ชอนไชไปเรื่อยๆ ไปยังส่วนต่างๆของปราสาท ช่วยให้บรรยากาศของปราสาทตาพรหมดูลึกลับ สวย ไม่เหมือนปราสาทที่อื่นๆ

ที่ปราสาทตาพรหมมีต้นไม้อยู่ 2 ชนิด ต้นที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า ต้นสะปง หรือภาษาไทยเรียกว่า ต้นสำโรง เป็นต้นไม้ยืนต้นเนื้ออ่อน รากของมันจะดุดน้ำใต้ดินเข้าลำต้นทำให้ดูป่อง พอง ส่วนพันธุ์ไม้อีกพันธุ์หนึ่งเป็นไม้เลื้อยขึ้นอยู่ตามหน้าบัน ทับหลังหรือตัวปราสาท หลังคา ลักษณะเป็นไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก บ้างก็แห้งตายคาอยู่ บ้างก็ยังเขียวสดอยู่ เกิดจากการที่นกมาขับถ่ายมูลที่มีเมล็ดของพันธุ์นี้ทิ้งไว้ บริเวณใดของปราสาทที่มีน้ำขังอยู่มีตะไคร่น้ำที่ให้ความชุ่มชื้น ก็สามารถทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเป็นต้นได้ ทั้งไม้เล็กและไม้ใหญ่ต่างเติบโตตามสภาวะที่เอื้ออำนวยรากของไม้ใหญ่ที่แทรกชอนไชไปบนแผ่นศิลา เพื่อจะหาที่ลงดินเกิดเป็นรูปทรงคล้ายหนวดปลาหมึกเกาะกุมองค์ปราสาททำให้ช่วยประคองยึดตัวปราสาทไม่ให้พังลงมาได้

ANGKOR TRIP (ตอนสิบเอ็ด)


ปราสาทบันทายคดี (หรือปราสาทบันเตียกะเด็ย หรือบันทายกุฏิ)

ศิลปะแบบบายน สร้างในปีพศ.1730 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และสร้างขยายในสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2

ปราสาทบันทายเป็นศิลปะบายนคล้ายปราสาทตาพรมและปราสาทพระขรรค์ สันนิษฐานว่าเป็นปราสาทสำคัญหลังหนึ่งในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปัจจุบันยังไม่พบจารึกการสร้าง และจุดประสงค์ของการสร้าง จบจากปราสาทบันทายคดี

สระสรง

ศิลปะแบบบายน สร้างในสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมัน และสร้างขยายในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อยู่บริเวณตรงข้ามปราสาทบันทายคดี




Tuesday, March 4, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนสิบ)

ปราสาทบากอง
สร้างในต้นปีพุทธศตวรรษที่ 15 (พ.ศ. 1424) ในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 เป็นศิลปะแบบบากอง

ปราสาทนี้ สร้างหลังปราสาทพระโคประมาณ 2-3 ปี เป็นปราสาทหลวงในรัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ณ เมืองหริหราลัย จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 15

ปราสาทบากองเป็นสัญลักษณ์แห่งแรกในการสร้างปราสาทที่เป็นปิรามิด และเป็นต้นกำเนิดของปราสาทหลายหลังในเมืองพระนคร เช่น ปราสาทแปรรูป ตาแก้ว บาแค็ง

ตัวปราสาทมีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นถูกสร้างขึ้นจากหินทราย ยกเว้นเฉพาะปรางค์ประธานที่อยู่ชั้นบนสุดที่ยังสร้างขึ้นจากอิฐสันนิษฐานว่าพังไปหมดแล้ว ต่อมาได้ซ่อมแซมในสมัยบาปวนหรือนครวัดโดยกษัตริย์ยุคหลังๆ สังเกตได้จากศิลปะไม่เหมือนกับฐานปราสาท การสร้างลักษณะนี้เป็นการจำลองเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระศิวะ

ANGKOR TRIP (ตอนเก้า)

ถัดจากปราสาทนครวัดยามเช้า พวกเราก็ไปเที่ยวชมปราสาทกันต่อ ก็เป็นกลุ่มปราสาทเรอลั้วะ

กลุ่มปราสาทเรอลั้วะตั้งอยู่ในเมืองเมืองหริราลัย ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าก่อนเมืองพระนคร ประกอบด้วยปราสาท 3 แห่ง คือ ปราสาทโลเล็ย ปราสาทพระโค และปราสาทบากอง ถือเป็นปราสาทยุคแรกก่อนปราสาทนครวัด หรือนครธมนานมากทีเดียว

ปราสาทพระโค สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 15 รัชสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 เป็นศิลปะแบบพระโค

ปราสาทนี้ สร้างด้วยอิฐทั้ง 6 หลัง แบ่งเป็น 2 แถวแถวละ 3 หลัง ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ตัวปราสาทเป็นอิฐ แต่กรอบประตูและกรอบหน้าต่างสร้างด้วยหินทราย ปรางค์ประธานอยู่ตรงกลางของแถวหน้า มีจารึกภาษาขอมโบราณที่กล่าวถึงประวัติการสร้างปราสาทแห่งนี้

พื้นที่รองรับน้ำหนักของปราสาททั้ง 6 หลังนั้นเป็น หินทราย ซึ่งมีลักษณะและชนิดของหินเหมือนกับที่นำมาทำประติมากรรมลอยตัวของโคนนทิ

พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 มีบันทึกไว้ว่า ปราสาทกลุ่มนี้มีปราสาท 6 กลังก่อด้วยอิฐบนฐานเดียวกัน
ปราสาทองค์กลาง (ด้านหน้า) สร้างถวายแด่พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ผู้เป็นอัยยิกา (ปู่)

ปราสาทองค์กลาง (ด้านหลัง) สร้างถวายแด่พระมเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 มีพระนามว่า ธรนินทรเทวี
ปราสาทองค์ซ้าย (ด้านหน้า) สร้างถวายพระราชบิดาของพระองค์คือปิทวีณทรวรมัน

ปราสาทองค์ซ้าย (ด้านหลัง) สร้างถวายพระราชมารดา
ส่วนปราสาททางขวามืออีก 2 หลังสันนิษฐานว่าคงจะสร้างให้ญาติเช่นกัน

เมื่อสร้างปราสาทนี้เสร็จแล้ว ได้กล่าวถึงปราสาทนี้ว่า สร้างอุทิศถวายแด่พระปรเมธวระ หรือพระเจ้าสูงสุดอีกพระนามของพระศิวะนั่นเอง

ทับหลัง บริเวณผังปราสาทมีลายปูนปั้นประกอบด้วยการสลักทับหลังศิลาทรายแบบนูนสูง ทับหลังสมัยพระโคนั้น นักโบราณคดีนิยมยกย่องว่าเป็นทับหลังที่สวยงาม เหนือกว่าสมัยใดๆ สมัยนี้เริ่มมีศิลปะชวาเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น ทับหลังชิ้นหนึ่งภาพสลักหน้ากาลหรือเกียรติมุข (ลักษณะลายหน้าสัตว์ผสมคล้ายหน้ายักษ์บนหน้าสิงห์ มีตากกลมโปนแต่ไม่มีริมฝีปากล่าง) คาบท่อนพวงมาลัย และบนท่อนพวงมาลัยจะมีเทวดาขี่ม้าเรียงกันเป็นแถวท่าทางดูงามลึกซึ้ง

รูปเทพารักษ์หรือทวารบาล ที่ผนังปราสาทพระโคทั้งสี่ด้านไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายมักยืนอยู่ในซุ้มเรือนแก้วผู้ชายใส่เครื่องศิราภรณ์ประดับศีรษะ มือขวาถือหอก มือซ้ายท้าวสะเอวนุ่งผ้าจีบหน้า คาดเข็มขัดสวยงาม โดยเฉพาะมือที่ถือหอกกำไม้สู้แน่นนัก ทำให้ดูนุ่มนวลเหมือนนาฏลักษณ์

ประติมากรรมลอยตัวรูปโคนนทิ ที่่เรียกว่าปราสาทพระโค เชื่อว่าเป็นเพราะมีรูปโคนนทิ 3 รูป ตั้งอยู่ด้านหน้าของปราสาท

ANGKOR TRIP (ตอนเจ็ด - ปราสาทนครวัด ๓)

22 กพ. 51

วันนี้ตื่นตั้งกะตีสี่ ตีห้านั่งรถปุเลง ๆ ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด ก็มีคนทะยอย ๆ กันมาเรื่อย ๆ เหมือนกับว่า ทุกทัวร์ที่มาเที่ยวที่นี่ พากันแห่แหนมาดูพระอาทิตย์ขึ้น คนเยอะดี แล้วก็เจอพ่อหนุ่มฝรั่งหน้าใส ที่น้องบางคนที่ติดกาแฟงอมแงม ช้อบ ชอบ ที่พบเจอกันเมื่อวันวาน ก็มาดูพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน น้องคนนี้ชอบใจ ดีใจ ดี๊ด๊า ไปตามประสา แต่ก็ไม่มีอะไร ทำอะไรไม่ได้ ได้แค่เพียง...มอง แล้วก็อมยิ้มคนเดียว อะไรประมาณนั้น

Monday, March 3, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนแปด - COFFEE BREAK)

เนื่องจากว่ามีน้องคนหนึ่งในกลุ่มทัวร์ครั้งนี้ ติดกาแฟงอมแงม และเนื่องด้วยใกล้ ๆ โรงแรมที่เราพักนั้น มีร้านกาแฟที่เราเล็ง ๆ ไว้อยู่ร้านหนึ่ง (ร้าน T&COFFEE WORLD)

ที่ร้านมีป้ายบอกราคากาแฟ พร้อมรูปสวยงาม ดูแล้วน่ากินเป็นยิ่งนัก ราคาก็โอเค รับได้ เราก็เลยตกลงกันว่า เย็นนี้ หลังจากกลับจากท่องเที่ยวนครวัดแล้ว เราจะมากินกาแฟ กับแพนเค้ก ที่ร้านนี้กัน

กลุ่มเล็ก ๆ ของเราทั้ง 4 คนก็ตะลอนเข้าไปในร้านกาแฟแห่งนี้ จัดการสั่งกาแฟเย็น (ใส่นม) 3 ที่ กาแฟร้อน (ลาเต้) อีกหนึ่งที่ พร้อมแพนเค้ก 2 จาน

หะแรก ก็สังเกตเห็นว่า ร้านนี้มีลูกค้า 2 โต๊ะแล้ว โต๊ะแรกก็จะเป็นครอบครัว สัก 6 คนได้ล่ะมั้ง ส่วนอีกโต๊ะหนึ่งก็จะลูกค้าอีกประเภทหนึ่ง อายุประมาณคนทำงานประมาณ 3-4 คนได้ ไม่แน่ใจ

อาหารต่าง ๆ ก็ทยอยกันมาที่โต๊ะครอบครัว เราก็เฉย ๆ กัน คุยกันไปออกรสออกชาติ

15 นาทีผ่านไป กาแฟของเราก็ยังไม่มากันเลย ก็เอ่อ…ไม่เป็นไร คุยกันต่อก็ได้

แล้วอาหารต่าง ๆ ของลูกค้าอีกโต๊ะก็ทยอยกันมาจนครบ

สักพัก พนักงานในร้านก็มาบอกว่า ขอโทษนะคะ นมหมดค่ะ เปลี่ยนกาแฟเย็นใส่นมเป็นอย่างอื่นได้มั้ยคะ

เราก็…ได้ ๆ งั้นเอากาแฟเย็น ไม่ใส่นม ก็ได้

ค่ะ ค่ะ ได้เลยค่ะ รอสักครู่นะคะ

สักพัก ลาเต้ ก็มาถึง แต่…เพียงที่เดียวเท่านั้น

พวกเราก็คิด กาแฟเย็น มันชงกันยากเย็นอย่างงั้นเชียวหรือไร ทำไมมันช้าซะขนาดนั้น ไม่เข้าใจ

10 นาที 15 นาทีผ่านไป พวกเราก็เริ่มโมโหกันแล้ว โมโหในแง่ว่า โมโหไม่จริงน่ะ ออกแนวตลก ๆ ซะมากกว่า หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันไป พลางนินทาร้าน ว่าทำไมช้าจังฟะ

พนักงานในร้านซึ่งอาจจะฟังภาษาไทยออก ก็เดินเข้ามา ขอโทษ แล้วบอกว่า รอแพนเค้กอีกสักครู่นะครับ ช้านิดนึงนะครับ

ด้วยความที่รอนาน จะชั่วโมงนึงแล้ว โมโหตงิด ๆ ก็เลยพูดไปเลยว่า ไอ้ที่สั่งน่ะ ไม่เอาแล้ว คิดตังค์เลยก็แล้วกัน

พนักงานก็หน้าตาเหรอหรา รีบไปตามหัวหน้ามา

พอหัวหน้ามา ก็ขอโทษขอโพยใหญ่ บอกว่า น่านะ รออีกแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวเอากาแฟมาให้นะ ใจเย็น ๆ นะพี่ นะพี่นะ

เราก็โอเค โอเค กันไป ดูซิว่ากาแฟ แพนเค้ก มันจะอร่อยขนาดไหนฟะ ถึงแบบว่า…ทำโคตรช้าขนาดนี้ หรือว่ามันเป็นกาแฟอย่างดี แป้งแพนเค้ก อย่างดี

สักพักกาแฟเย็นของเราก็มา แต่ว่าทยอย ๆ กันมา ทีละแก้ว ทีละแก้ว แก้วหนึ่งห่างกันประมาณ 3-5 นาที ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำนานขนาดนั้น คาดว่าคงจะชงทีและแก้วน่ะ

พอชิมแล้ว รสชาดก็เป็นกาแฟร้อนใส่น้ำแข็งนั่นแหละ ขมมากมาย เพื่อนบางคนถึงกับเลิกกินไปเลย ก็มันไม่อร่อยนี่นา ทนกินทำไมกัน

เราก็เลยใส่น้ำตาลลงไป จริง ๆ ก็รู้นะว่าน้ำตาลไม่ละลาย แต่ขอให้ได้ใส่ ขอหวานนิดนึง

กินไปก็กรุบ ๆ ดี พวกเรากินไปก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันไป เพราะโกรธพนักงานที่ร้านไม่ลง หน้าตาเค้าดูว่าผิดจริง แบบว่าจริงใจน่ะ ก็เลยโกรธไม่ลง ได้แต่คุยติดตลกกันไป สนุก ๆ

แล้วแพนเค้กก็ออกมาให้ลิ้มรส 1 จาน รสชาดก็งั้น ๆ นั่นแหละ ไม่ถึง 5 นาที มันก็เกลี้ยง

แล้วจานที่สองก็ตามมา ไม่ถึง 5 นาที ก็เกลี้ยงอีกเช่นกัน

สรุปแล้วพวกเราอยู่ในร้านนี้ประมาณ 1 ชม. (ตั้งแต่ประมาณ 16.30 – 17.30 น. เห็นจะได้) แต่กินนู่นกินนี่กัน ยังไม่ถึง 15 นาทีด้วยซ้ำ แต่กลับต้องรอแค่กาแฟ กับแพนเค้กถึง 45 นาที โอ้…มายก้อด มันจะบรรจงทำอะไรขนาดนี้หนอ

เวลาผ่านร้านนี้ทีไร พวกเราก็ได้แต่อมยิ้ม มองหน้า แล้วหัวเราะกันไป ก็ เออ…รอกันไปได้เนาะ

Sunday, March 2, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนเจ็ด - ปราสาทนครวัด ๒)

ปราสาทชั้นนอก
ทางเดินเข้าสู่มหาปราสาทนครวัดมี 5 ประตู ประตูใหญ่อยู่ตรงกลางสำหรับพระมหากษัตริย์ดำเนินเข้าสู่นครวัด ส่วนทางเข้าที่เล็กกว่าถัดออกไปสำหรับเสนาบดี และที่ไกลสุดอีกสองแห่งมีขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับประชาชนทั่วไปรวมทั้งสัตว์พาหนะ
ภาพสลักที่มหาปราสาทนครวัดนับเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของศิลปะขอม จนได้ชื่อว่าเป็นศิลปะยุคนครวัด
ปรากฏอยู่ที่ผนังด้านในระเบียงคตชั้นนอกสุดของตัวปราสาท พื้นที่รวมของภาพสลักมีนาดใหญ่มาก ยาวเกือบ 600 เมตร
เนื้อหาของภาพส่วนใหญ่มาจากคัมภีร์พระเวท และมหากาพย์ของศาสนาฮินดู
การชมภาพสลักที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ภาพการรบที่ทุ่งกุรุเกษตรในมหาภารตะยุทธ ภาพขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ภาพการตัดสินความคดีและความชั่วของพญายม ภาพการกวนเกษียรสมุทร และยังมีภาพอื่นๆอีกมากมายหลายร้อยภาพให้ได้ชมกัน

ภาพการรบที่ทุ่งกุรุเกษตร
เป็นเรื่องราวในมหาภารตยุทธ กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างพี่น้องสองตระกูล คือตระกูลปาณฑพ และเการพ ทั้งสองตระกูลยกทัพมารบกันขั้นแตกหักที่ทุ่งกุรุเกษตรทางตอนเหนือของอินเดีย ภาพสลักมีความยาว 49 เมตร เล่าเรื่องขณะสู้รบกัน ตระกูลเการพอยู่ทางด้านซ้ายและตระกูลปาณฑพอยู่ทางด้านขวา
ขอบภาพทั้งสองด้านเป็นภาพของทหารแต่ละฝ่ายยืนเรียงแถวกันเป็นระเบียบ มีนายทหารบนรถม้าศึกและหลังช้างการรบถึงขั้นตะลุมบอนรุนแรงที่บริเวณที่บริเวณกลางภาพ
ตัวละครเด่นๆ คือ ภีษมะ แม่ทัพของฝ่ายเการพอรชุน แม่ทัพฝ่ายปาณฑพ และพระวิษณุ ที่อวตารลงมาเป็นพระกฤษณะ ซึ่งเป็นผู้ขับรถศึกให้อรชุน
การรบดำเนินมาจนวันที่สิบ อรชุนก็สังหารภีษมะ จะเห็นภาพภีษมะนอนตายบนลูกธนูที่ถูกยิงทั่วทั้งตัว การรบสิ้นสุดลงในวันที่สิบแปด โดยตระกูลปาณฑพเป็นฝ่ายชนะและถือเป็นวันสิ้นสุดของยุค

ภาพขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
เป็นภาพสลักที่ต่างจากทุกภาพ คือเป็นภาพจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ มีความยาวถึง 94 เมตร โดยแบ่งภาพออกได้เป็นสองส่วน
ส่วนแรกเป็นช่วงที่ยังไม่จัดตั้งขบวนทัพ ส่วนที่สองเป็นภาพขบวนทัพ
ในส่วนแรกนั้นแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นบนเป็นภาพพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ประทับบนราชบัลลังก์ ล้อมรอบด้วยเหล่ารัฐมนตรี และแม่ทัพนายกองที่มาเฝ้า
ชั้นล่างเป็นภาพขบวนของเจ้าหญิงพระธิดาบนเสลี่ยง
เมื่อสิ้นสุดภาพในส่วนแรกก็เริ่มเป็นภาพขบวนทัพของทหารเดินเรียงไปตลอดแนว พร้อมกับแม่ทัพนายกองของแต่ละกองทัพบนหลังช้าง เกือบหน้าสุดของขบวนทัพเป็นกองทัพที่มีลักษณะแตกต่างจากทัพอื่นทหารมีใบหน้าที่โค้งมน สวมเสื้อลายดอก นุ่งผ้าคล้ายกระโปรง ชายผ้ายาว สวมหมวกทรงสูงเป็นชั้นๆ ที่ปลายมีภู่ยาว แม่ทัพอยู่บนหลังช้างเช่นกัน สันนิษฐานว่าเป็นทัพของชาวสยาม

นรก สวรรค์ การพิพากษาของพญายม (ระเบียงคตทิศใต้ ด้านทิศตะวันออก)
ภาพสลักนี้นักโบราณคดีหลายท่านเชื่อว่ามีขึ้นหลังจากที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เสด็จสวรรคตแล้ว
ลักษณะของภาพแบ่งเป็นสองตอน แต่ละตอนแบ่งออกเป็นสองถึงสามชั้น ซึ่งชั้นบนจะเป็นบนโลก และสวรรค์ ชั้นล่างสุดเป็นนรก
ในตอนแรกซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของภาพ เป็นภาพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เสด็จนำเหล่าข้าราชบริพารที่ดีขึ้นสวรรค์ พวกอสูรและคนไม่ดีตกนรก
ในตอนที่สองชั้นกลางเป็นภาพพญายมสิบแปดมือนั่งพิพากษาความดี-ชั่ว ของคนตายบนหลังควายซึ่งเป็นสัตว์พาหนะ
และภาพที่นับเป็นจุดเด่นของภาพสลักนี้คือภาพชั้นล่างของนรกขุมต่างๆ ที่มีการทรมานคนชั่วคนบาป ตามคติขอมเชื่อว่านรกภูมิแบ่งเป็นชั้นถึง 32 ชั้น

ภาพกวนเกษียรสมุทร
การกวนเกษียรสมุทรมีจุดประสงค์เพื่อผลิตน้ำอมฤต โดยใช้เวลาถึง 1,000 ปี น้ำอมฤตนั้นมีฤทธิ์ทำให้ผู้ที่ได้ดื่มกินเป็นอมตะ
บางตำรากล่าวถึงสาเหตุของการกวนเกษียรสมุทรว่าเนื่องมาจากเทวดาและอสูรมักจะสู้รบ ยกทัพมาปราบอีกฝ่ายบ่อยครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่เรื่อยมา ฝ่ายเทวดาจึงไปขอคำปรึกษากับพระวิษณุว่า ทำอย่างไรจึงจะรบชนะเหล่าอสูรได้ตลอดทุกครั้ง พระวิษณุจึงแนะนำเรื่องการกวนเกษียรสมุทรเพื่อผลิตน้ำอมฤต ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่และต้องใช้พละกำลังมาก โดยใช้ภูเขามันทระเป็นแกนหมุน ใช้นาควาสุกรีแทนเชือกพันรอบเขามันทระแล้วแบ่งเป็นสองฝ่ายผลัดกันดึงสลับไป-มา เทวดาได้ยินดังนั้นก็ออกอุบายยืมแรงอสูรให้มาช่วยดึงนาคเพื่อกวนทะเลน้ำนม และให้สัญญาว่าจะแบ่งน้ำอมฤตที่ได้ให้ ฝ่ายอสูรเห็นดีก็ตอบตกลง จึงแบ่งด้านกันกวน ฝ่ายเทวดาอยู่ดึงนาควาสุกรีด้านหาง ฝ่ายอสูรให้ดึงด้านหัว
การกวนครั้งนั้นใช้เวลานาน เขามันทระก็ค่อยๆ เจาะโลกลึกลงๆ พระวิษณุเป็นห่วงว่าโลกจะทะลุหรือแตกสลาย จึงได้อวตารเป็นเต่า (ปางกูรมาวตาร) เอากระดองรองรับเขามันทระไว้ (ซึ่งเป็นตอนที่ปรากฏบนฝาผนัง)
จากขอบภาพด้านซ้ายจะเป็นภาพกองทัพเหล่าอสูรเตรียมตัวพร้อมรบ เพื่อแย่งน้ำอมฤตมาเป็นของตนฝ่ายเดียว ถัดไปจึงเป็นหัวแถวกวนเกษียรสมุทรด้านอสูร ตนแรกที่เป็นผู้ถือหัวนาควาสุกรีคือทศกัณฑ์ จากจุดนี้บ่งบอกได้ว่า ขอมโบราณได้รวมเอามหากาพย์รามายณะรวมกับคัมภีร์พระเวท ถัดไปเป็นแถวอสูรอีก 91 ตน ไปจนถึงกลางภาพ จะเห็นพระวิษณุสี่กร คอยควบคุมการกวนอยู่หน้าเขามันทระ ใต้เขามันทระเป็นเต่าเอากระดองรองเขา เหนือเขามันทระมีพระอินทร์คอยจับเขาให้ตรง ถัดไปด้านขวาเป็นแถวของเทวดา 88 องค์ ท้ายสุดผู้ถือหางคือหนุมาน ช่วงท้ายของภาพเป็นกองทัพของเหล่าเทวดาเตรียมตัวแย่งน้ำอมฤตจากอสูรเช่นเดียวกัน

จริง ๆ แล้ว ควรจะเตรียมข้อมูลไปเยอะ ๆ พกหนังสือคู่มือนำเที่ยวนครวัดไปด้วยก็จะดีมาก จะได้อรรถรสในการชมมากยิ่งขึ้น หรือถ้ามีเงินพอที่จะจ้างไกด์ก็จะดียิ่ง ไกด์ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกของที่นี่ พูดได้หลายภาษา ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ไทย อื่น ๆ ได้คล่องปรื๋อ เล่าเรื่องราวตามภาพแกะสลัก ฟังแล้วสนุกดี

ANGKOR TRIP (ตอนเจ็ด - ปราสาทนครวัด ๑)

ตัวปราสาทนครวัด
ประกอบด้วยโครงสร้างหลักที่เด่นๆ ของสถาปัตยกรรมขอม 2 ส่วน คือ ปิรามิดปราสาทและระเบียงคตที่เชื่อมติดกัน ในส่วนของปิรามิดปราสาทสร้างยกระดับขึ้นสูง 3 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยระเบียงคต มีโคปุระอยู่ทั้งสี่ทิศหลักและศาลาที่มุมทั้งสี่มุม หรือปราสาทบริวารล้อมรอบของปรางค์ประธาน

ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของนครวัด สัญลักษณ์ต่างๆที่แทนในสิ่งก่อสร้างทั้งหลายตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดูก็ให้ภาพและความรู้สึกที่คล้ายจริง

- คูเมืองหมายถึงมหาสมุทรที่ล้อมรอบโลก

- ระเบียงคตที่เชื่อมกันล้อมรอบปราสาท หมายถึงเทือกเขาน้อยใหญ่ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุที่ประทับของเทพเจ้า

- และตัวปราสาทชั้นบนสุดหรือปรางค์ประธานหมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ การได้ขึ้นไปถึงปรางค์ประธานอันสูงชันก็เหมือนการจำลองการขึ้นเขาพระสุเมรุจริงๆ

จุดเด่นที่สุดจุดหนึ่งของมหาปราสาทนครวัด นอกเหนือจากสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ ก็คือภาพสลักบนผนังด้านในของระเบียงคตชั้นล่างของตัวปราสาท

แม้เรื่องราวส่วนใหญ่จะมาจากมหากาพย์และคัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดู แต่ก็ไม่ลืมกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้สร้างไว้ด้วยโดยสลักเป็นรูปกระบวนทัพของพระองค์ ส่วนหนึ่งในภาพสลักนี้มักเป็นที่สนใจหยุดชมของนักท่องเที่ยวเสมอ คือภาพกองทัพชาวสยาม ซึ่งปัจจุบันยังหาข้อสรุปแน่ชัดไม่ได้ว่าเป็นชาวสยามกลุ่มใด โดยมีลักษณะเด่นที่การแต่งกาย การเดินทัพที่ดูไม่เป็นแถว ไม่เป็นระเบียบ

สังเกตไปสังเกตมา จะเห็นว่ามีบางช่วงที่ภาพสลักจะเป็นเงา สาเหตุก็เนื่องมาจากคนเรานี่แหละ ชอบกันนัก เค้าไม่ให้แตะ ไม่ให้ต้อง ไม่ให้สัมผัส ก็ยังไม่วาย เฮ้อ...คนหนอคน

ANGKOR TRIP (ตอนเจ็ด - ปราสาทนครวัด)

ปราสาทนครวัด
สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 1650 – 1693) รัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เป็นศิลปะแบบนครวัด - ส่วนใหญ่จะเป็นรูปภาพของการเล่าเรื่องราว แต่จะไม่มีลวดลายของพรรณไม้ บริเวณตรงกลางภาพจะมีขนาดเล็กและมีรูปสัตว์ใหญ่ๆได้แก่ หงส์ นาค ใช้แทนที่ลายหน้ากาล -

สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแก่พระวิษณุเทพในศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ และยังใช้เป็นราชสุสานเก็บพระศพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้มหาปราสาทนครวัดจึงถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสียเป็นส่วนใหญ่

อาณาจักรขอมโบราณนั้นได้รับอิทธิพลความเชื่อจากอินเดียผ่านทางศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์ ซึ่งยกย่องกษัตริย์ว่าเป็นเทพเจ้า เรียกว่า “ลัทธิเทวราชา” กษัตริย์คือตัวแทนของเทพเจ้าในโลกมนุษย์ จึงมีการสร้างเทวสถานถวายให้ และเชื่อว่าเมื่อสวรรคตแล้ววิญญาณจะประทับอยู่ที่ปราสาท ซึ่งเป็นคติเทวราชาที่เชื่อว่ากษัตริย์คือเทวเจ้าอวตารลงมา

ด้วยความเชื่อเช่นนี้เอง ที่ทำให้กษัตริย์ขอมเมื่อขึ้นครองราชย์ จึงตั้งหน้าตั้งตาสร้างปราสาทตลอดรัชกาลของแต่ละพระองค์ เป็นศาสนสถานสัญลักษณ์ของระบบสุริยะจักรวาลตามคติฮินดูหรือความหมายก็คือศูนย์กลางของโลกและจักรวาลนั่นเอง


พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงครองอาณาจักรขอมระหว่างปี พ.ศ. 1656 – 1693 รวม 37 ปี หลังสิ้นรัชกาลของพระองค์ กษัตริย์ขอมองค์ต่างๆ ที่ขึ้นครองราชย์ยังคงมีการก่อสร้างปราสาท แต่ไม่มีปราสาทใดเลยจะยิ่งใหญ่ไปกว่ามหาปราสาทนครวัดแห่งนี้


นครวัดไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสูงส่งเลิศเลอในบรรดาปราสาทขอมทั้งหมดเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองในตัวของมันเองด้วย นั่นคือมีฐานะเป็นทั้งเมืองหลวง และศาสนสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ที่สร้างอุทิศถวายแก่พระวิษณุ


ครั้งแรกที่เห็นปราสาทนี้ จำไว้ว่า พอรถตู้เลี้ยวมาตามถนน จะเห็นทางเดินเข้าปราสาท ขนาบด้วยคูน้ำ เป็นภาพที่งดงามมาก มากจริง ๆ มากจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามได้ขนาดนี้ พอรถมาจอดหน้าทางเดินเข้า ได้เห็นปรางค์ด้านหลัง ก็ได้แต่ร้องว่า สวยอ่ะ สวยจริง ๆ โคตรสวยเลย อลังการมาก ๆ บอกตรง ๆ ว่าอึ้งและทึ่งกับปราสาทนี้มากมาย