Friday, March 7, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนสิบหก - ประสาทบันทายสรี ๒)

จุดเด่นของโคปุระ อยู่ที่หน้าบัน มีภาพสลักพระศิวนาฎราช ภาพการร่ายรำของพระศิวะนับว่ามีบทบาทสำคัญในคติความเชื่อของผู้นับถือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย พระศิวะในภาพหนึ่งเศียร สิบกร พระเกศาทรงฏามกุฎ ร่ายรำอยู่เหนือพวงพฤกษาการร่ายรำของพระศิวะเป็นที่เลื่องลือและยกย่องของเหล่าเทพทั้งมวลถึงความสวยงามน่ายำเกรง นอกจากนี้ ผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูยังเชื่อว่าจังหวะการร่ายรำของพระศิวะอาจบันดาลให้เกิดผลดีและผลร้ายแก่โลกได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอ้อนวอนให้พระองค์ฟ้อนรำในจังหวะที่พอดี โลกจึงจะร่มเย็นเป็นสุข หากพระองค์โกรธกริ้วด้วยการร่ายรำในจังหวะที่รุนแรงแล้วก็ย่อมจะนำมาซึ่งภัยพิบัติแก่โลกนานัปการ

บรรณาลัย ถัดจากโคปุระมาทางซ้ายหรือทิศใต้ เป็นบรรณาลัยที่อยู่ในสภาพที่สวยงามและดูสมบูรณ์มาก ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นเล็กน้อย ลักษณะทำเป็นสองชั้น จุดเด่นของบรรณาลัยนอกจากกรอบประตูเสาประดับกรอบประตูทำเป็นวงประดับด้วยลายใบไม้ศิลปะบันทายสรี ที่หน้าบันสลักเรื่องรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฑ์ยกเขาไกรลาศให้เข้าที่ โดยเรื่องมีอยู่ว่า ครั้งที่ท้าววิรุฬหกสำคัญผิดไปว่าพระศิวะเสด็จออก พอขึ้นบันไดเขาไกรลาศขั้นหนึ่งก็กราบถวายบังคม ขณะนั้นมีตุ๊กแกตัวหนึ่งเกาะอยู่ตรงบันดี่วิมานพระศิวะ ตุ๊กแกเห็นท้าววิรุฬหกหลงกราบทุกขั้นบันไดก็ให้นึกสนุก จึงแกล้งกระแอมให้คล้ายเสียงคน ทำให้ท้าววิรุฬหกต้องถวายบังคมทุกขั้นบันได ครั้นเห็นตัวและรู้ว่าเป็นตุ๊กแกจึงโกรธ จึงถอดสังวาลออกขว้าง หวังจะประหารตุ๊กแกแต่พลาดเลยไปถูกเขาไกรลาศจนเอียงไป ทั้งพระศิวะและพระอุมาเทวีต่างตื่นตกพระทัยเข้าใจว่าเกิดแผ่นดินถล่ม พอพระองค์ทราบความก็ได้กะเกณฑ์เหล่าเทพเทวดามาช่วยยกเขาไกรลาศขึ้นตั้งไว้อย่างเดิม ความชอบนี้ทศกัณฑ์ได้ทูลขอพระอุมาเทวีจากพระศิวะ ซึ่งพระองค์ทรงประทานให้ ทศกัณฑ์ดีใจจึงได้อุ้มพระอุมาไปจากวิมานพระศิวะ แต่ไปได้สักพัก ทศกัณฑ์รู้สึกประหนึ่งถุกไฟสุมทรวงและร้อนผ่าวไปทั้งศีรษะ มิอาจเดินทางต่อไปได้ จึงได้พาพระอุมาเทวีมาคืนแด่พระศิวะ พระศิวะก็ทรงเมตตา ประทานนางมณโฑให้เป็นบำเหน็จ ในภาพสลักที่หน้าบันจะเห็นภาพพระศิวะกำลังอุ้มพระอุมาเทวีอยู่บนตัก ด้วยความตื่นพระทัย ท่ามกลางเขาไกรลาศที่เอียงลง มีพวงช้างและสิงห์ซึ่งจัดว่าเป็นเจ้าแห่งพลังต่างตกใจเงยหน้าทำท่ากลัวเกรง นับได้ว่าเป็นภาพสลักที่มีชีวิตชีวาที่สุดภาพหนึ่ง

ความสวยงามของปราสาทบันทายสรีนี้ช่างในสมัยโบราณได้สร้างอย่างบรรจงและยังได้รวบรวมเอาศิลปะในยุคเก่าหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นศิลปะแบบพระโค ศิลปะแบบบาแค็ง ศิลปะแบบเกาะแกร์และแปรรูป มาอนุรักษ์ไว้ ณ ปราสาทแห่งนี้ ดูได้จากเสาติดกับผนัง เสาประดับกรอบประตู ทับหลังและหน้าบัน สำหรับภาพเทวดาและเทพธิดาที่สลักอยู่ประจำผนังเทวลัย ก็มีลักษณะน่าชมมาก เนื้อตัวไม่ใหญ่โค แต่ดูอวบอิ่ม ประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ดูสวยงามมาก ยืนอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว นางอัปสรยืนอยู่ในท่าที่ชวนพิศเอียงสะโพกเล็กน้อย ทรงผมเกล้าเรียบๆ ประดับด้วยศิราภรณ์เล็กน้อย มีต่างหูประดับฝีมือประณีต ตุ้มหูคล้ายพวงอุบะ (มาลัย) ยาวเสมอไหล่ เอียงคอเล็กน้อยมือจับจีบดอกบัว ใส่กำไลทั้งมือและท้าว สวมผ้ามีกระเปาะจีบอยู่ด้านหน้า รอบๆ สะโพกมีลายคล้ายดวงดอกไม้ ดูแล้วเป็นธรรมชาติมาก

ขอบอกว่า ปราสาทนี้ภาพแกะสลักสวยงามมากมาย ดูแล้วไม่มีเบื่อเลย ฝีมือช่างสมัยนั้นดีมากจริง ๆ ภาพที่ถ่ายมา งามยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของภาพสลักจริง ๆ เลย ทั้งอึ้ง ทั้งทึ่งอีกแล้วเรา

No comments: