สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 16 รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5
จุดประสงค์ของการสร้างปราสาทนี้ก็เพื่ออุทิศให้แด่พระศิวะศาสนาฮินดูที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ทรงนับถือ แต่พระองค์ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์แก่พุทธศาสนานิกายมหายานอย่างเปิดเผยเช่นกัน
ปราสาทตาแก้วเป็นปราสาทแรกที่ทดลองนำหินทรายมาสร้าง มีลักษณะเป็นปราสาท 5 หลัง ก่อด้วยหินเป็นชั้น 5 ชั้น สูง 20 เมตร ในชั้นที่ 2 มีระเบียงคตยาวติดต่อล้อมรอบ เป็นปราสาทที่ถูกเรียกว่าปราสาทโกลน หมายความว่าเป็นปราสาทที่ยังสร้างไม่เสร็จดี จารึกไม่ได้ระบุว่าพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 1 ผู้มีศักดิ์เป็นพระนัดดาขึ้นครองราชย์ต่อมา ทรงสร้างปราสาทต่อหรือไม่ เพราะเป็นการขึ้นครองราชย์ช่วงสั้นๆ จวบจนพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ขึ้นครองราชย์ จึงทรงสร้างปราสาทตาแก้วต่อจนสิ้นรัชกาลก็ยังไม่เสร็จ
มีข้อสันนิษฐานที่ปราสาทเป็นปราสาทโกลนหรือสร้างไม่เสร็จอาจเป็นเพราะหินทรายที่นำมาก่อสร้างนั้นมีความแข็งจนยากต่อการแกะสลักภาพก็เป็นได้ หรืออาจเกิดสงครามจึงต้องเกณฑ์ผู้คนไปทำการรบ ทำให้การก่อสร้างขาดช่วงไป หรือกระทั่งการเกิดฟ้าผ่า ซึ่งเป็นความเชื่อว่าไม่เป็นที่ปรารถนาของเทพเจ้าจึงต้องหยุดการสร้างปราสาทไปเป็นปราสาทแรกที่ช่างขอมสามารถสร้างปราสาทด้วยหินทราย มีปราสาท 5 หลังอยู่บนฐานเดียวกันได้สำเร็จเป็นครั้งแรก (จากเดิมที่ใช้อิฐสร้างตัวปราสาท)
สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 17 รัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ศิลปะแบบนครวัด
ปราสาทล้อมรอบด้วยคูน้ำที่ขอมโบราณเชื่อว่าเป็นน้ำที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ตัวปรางค์ของปราสาทยังสภาพดีอยู่ แต่กำแพงล้อมรอบพังทลายไปหมดแล้ว เหลือโคปุระซึ่งมีสัดส่วนกะทัดรัด
ปราสาทพนมบาแค็ง
ศิลปะแบบบาแค็ง สร้างในปี พศ.1450 สมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 อยู่บนยอดเขาบาแค็งสูง 67 ม. ใช้เวลาเดินเท้า 20 นาที
พวกเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ คนตรึมเลยค่ะ คือ...เราไม่ได้ขึ้นไปดูบนยอดปราสาทหรอก นั่งดูผู้คนเดินไปเดินมานั่นแหละ สังเกตดูคนไทยเยอะเหมือนกัน มีทั้งเด็ก ๆ หนุ่มสาว ผู้ใหญ๊ผู้ใหญ่ เดินฝุ่นตลบกันไปหมด
สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ส้นสูงปรี๊ด กางเกงขาสั้นสุด ๆ คิดดู ปีนบันไดปราสาททั้ง ๆ ใส่ส้นสูง กางเกงขาสั้น แต่...เค้ามากับแฟนหนุ่มไง คิดว่าคงสามารถออดอ้อนแฟนหนุ่มได้
ประมาณว่า...ใส่ส้นสูงปรี๊ด ขึ้นบันไดไม่ถนัด ก็จะโซซัดโซเซ เอียงแถดแถ๋ เข้าหาแฟนหนุ่ม แฟนหนุ่มอยู่ในช่วงอินเลิฟก็จะต้องประคองด้วยความเต็มใจ ด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น แหม...ช่างน่าอิจฉาเสียนี่กระไร
No comments:
Post a Comment