Sunday, January 18, 2009

โชคดี (6)

หลายคนนึกสงสัยว่า เมื่อเจอกับสถานการณ์เลวร้ายในชีวิต เช่น เกิดภัยพิบัติ ไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เช่น พ่อแม่ตาย ลูกตาย จะยังให้พูดว่าขอบคุณ จะให้พูดว่าโชคดีได้อย่างไร

การคิดถูกคือ เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว เป็นอดีตที่เราไม่สามารถไปแก้ไขอะไรได้ แต่ให้เราตั้งเจตนาไว้ว่า นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะรักษาใจดี ตั้งจิตเป็นบุญเป็นกุศล ทำหน้าที่ของเราต่อไปด้วยจิตใจที่ดีมีเมตตา

หากเราต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เช่น ลูกตาย เราต้องทำใจว่าอย่างไรเขาก็ตายไปแล้ว พ่อแม่ต้องรักษาใจดี คิดเสียว่าลูกเขาไปเกิดในทางที่ดี พ่อแม่ยังคงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตยังมีค่ามีความหมาย โดยเฉพาะสำหรับลูกคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ ถ้าเราไม่ระวังรักษาใจของเราให้ดี หรืออย่างน้อยรักษาใจเป็นปกติให้ได้ ถ้าเราอยู่อย่างหดหู่สิ้นหวัง เท่ากับทำลายอนาคตของตัวเอง ของครอบครัว ของลูก ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ไปด้วย บรรยากาศในบ้านก็จะมีแต่ความทุกข์เศร้าโศก ดังนั้นแทนที่จะปล่อยจิตใจให้จมอยู่กับความทุกข์เศร้าหมอง เราต้องสร้างกำลังใจ ตั้งจุดมุ่งหมายให้กับชีวิตที่จะต้องดำเนินต่อไปว่า เราจะรักษาใจดี คิดดี พูดดี ทำดี มีเมตตากรุณาต่อตัวเอง

คำพูดว่า “โชคดี” จึงเป็นคำที่มีความหมาย เป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์สำหรับกับชีวิต เหมือนกับว่าเราตั้งโปรแกรมการมองโลกในแง่บวกไว้ในจิตใจของเราเสมอ เพราะใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้าของชีวิต ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้ามีกำลังใจดีแล้ว คิดดี พูดดี ทำดี ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้

โชคดี (5)

โชคดี
เมื่อเวลาผ่านไป ๆ โกโบริทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง พอดีในบริษัทกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแผนกใหม่ขึ้นมาเพื่อให้คิดค้นวิจัยและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ โกโบริได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผลิตภัณฑ์ใหม่ เขาต้องคัดเลือกหาพนักงานเก่ง ๆ มาช่วยงาน ในบริษัทก็มีพนักงานอยู่คนหนึ่ง สมมติว่าชื่อ โนบิตะ ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก ว่าไม่ค่อยเอาใจใส่ในงาน อยู่ไปวัน ๆ ไม่ค่อยตั้งใจทำงาน ไม่มีผลงานอะไร อย่างไรก็ตาม โกโบริก็เสนอขอตัวโนบิตะมาช่วยงาน ทั้ง ๆ ที่ผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะให้โนบิตะมาทำงานบุกเบิกในแผนกใหม่ แต่โกโบริก็ยืนยันขอตัวโนบิตะมาทำงานเป็นลูกต้อง ในที่สุดผู้ใหญ่ก็ไม่ขัดข้อง โนบิตะจึงย้ายมาเริ่มงานกับโกโบริในเดือนเมษายน

เมื่อโนบิตะมาทำงานกับโกโบริแล้ว เขาก็ขอให้โนบิตะทำตาม 2 ข้อ ข้อแรกก็คือตอนเช้าถ้าเขาทักทายโนบิตะว่า “อรุณสวัสดิ์ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ก็ให้โนบิตะพูดตอบว่า “โชคดี” ข้อที่สอง ตอนเย็นเลิกงานเมื่อเขาทักว่า “เป็นยังไงบ้างวันนี้” ก็ให้ตอบว่า “โชคดี” โนบิตะก็ไม่ขัดข้อง ทำตามที่โกโบริขอด้วยความยินดี เมื่อเขาทำตามนั้น คือพูดว่า “โชคดี” ใจเขาก็นึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เช่น นึกถึงภรรยาเขาที่ทำอาหารอร่อย ๆ ให้รับประทาน นึกถึงวันนี้อากาศดีทำให้มีความสุข บ้างก็นึกถึงดอกไม้สวย ๆ ไม่นานโนบิตะก็เป็นคนขยัน ทำงานมากขึ้น ในที่สุดเขาก็สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาได้หลายอย่าง เขาทำงานกับโกโบริมาได้เพียง 5 เดือน เมื่อถึงเดือนสิงหาคม เขาก็สามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ชิ้นหนึ่งที่ทำชื่อเสียงให้กับบริษัท เป็นผลิตภัณฑ์ที่ติดอันดับโลก ทำกำไรให้กับบริษัทเป็นเงินจำนวนมาก ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นผลงานของเขาจริง ๆ เมื่อโนบิตะทำงานเป็นลูกน้องโกโบริครบ 1 ปี เขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้า มีลูกน้องเก่ง ๆ 2 คนมาช่วยงาน และได้รับจัดสรรงบประมาณจากบริษัทเพื่อทำการค้นคว้าวิจัยหลายสิบล้านบาท

เรื่องของโกโบริ เป็นตัวอย่างที่จะสอนเราได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้เราคิดในแง่ดี คิดในแง่บวกไว้ก่อน เราจะมีกำลังใจ หาทางออกที่ดีให้กับชีวิตได้

โชคดี (4)

เป็นครูสอนพิเศษ
ระหว่างที่ยังเป็นนักศึกษาเรียนปริญญาโทอยู่ โกโบริก็พักอยู่คนเดียวที่อพาร์ตเมนต์


มีอยู่วันหนึ่งคุณป้าที่ทำงานรับซักรีดให้กับผู้เช่าอพาร์ตเมนต์ซึ่งรู้สึกกับโกโบริเป็นอย่างดีก็แนะนำโกโบริว่า มีคุณแม่คนหนึ่งเพิ่งย้ายบ้านมาจากเมืองอื่น ต้องการหาครูพิเศษให้กับลูกสาวที่เรียนชั้นมัธยม 3 คุณป้านัดให้โกโบริไปพบกับแม่ของเด็กคนนี้ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เมื่อโกโบริไปพบ ก็ได้ทราบว่าลูกสาวของเธอเป็นเด็กมีปัญหา ชอบเกเร ทำตัวเป็นนักเลง เสพยา ขายตัว ลักขโมย เคยถูกตำรวจจับเพราะทำผิดกฎหมาย เข้า ๆ ออก ๆ สถานพินิจอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ต้องเข้าไปอยู่สถานพินิจก็ต้องย้ายโรงเรียน จนในที่สุดแม่ก็รู้สึกอับอายขายหน้า อยากจะหนีไปอยู่ในสังคมอื่นที่ไม่มีใครรู้จัก จึงพากันย้ายบ้านย้ายเมืองมาอยู่ที่นี่ ส่วนพ่อของเธอไม่ได้ย้ายตามมาเพราะยังคงต้องทำงานอยู่ โกโบริไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเป็นครูสอนพิเศษให้ เมื่อโกโบริเจอกับเด็กสาวคนนี้ครั้งแรก สมมติให้ชื่อว่าฮิเดโกะ เขาก็รู้สึกถูกชะตา รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นน้องสาว ไม่ว่าฮิเดโกะจะเล่าอะไร โกโบริก็เปิดใจกว้างรับฟังด้วยใจดี ฮิเดโกะรู้สึกสบายใจที่มีคนเข้าใจเธอ เพราะที่ผ่านมามีแต่คนดูถูก ดูหมิ่นเธอ แต่โกโบริไม่ตำหนิเธอเลย ฮิเดโกะรู้สึกไว้วางใจและเชื่อฟังโกโบริ และค่อย ๆ มีความเชื่อมั่นในตัวเองกลับคืนมา กล้าเผชิญหน้ากับคนอื่น จนกระทั่งกลับไปเข้าโรงเรียนอีกครั้ง ผลการเรียนของเธอค่อย ๆ ดีขึ้น จนในระดับมัธยมปลายดีขึ้นมากขนาดได้คะแนนเป็นที่ 2 ของโรงเรียน จนไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำได้ พอเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เธอก็สามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีได้ แม้จะสอบติดเป็นคนสุดท้าย แต่ก็เรียนจบปริญญาโทออกมา ได้ทำงานเป็นครู ฮิเดโกะมีความรู้สึกที่ดีกับโกโบริเหมือนเขาเป็นพี่ชายที่คอยให้กำลังใจเธอ

โชคดี (3)

อุบัติเหตุ 2 ครั้ง
เมื่อโกโบริกลับไปบ้านที่ญี่ปุ่นแล้วเขาก็นำคำสอนคือ ภาษาศักดิ์สิทธิที่หญิงชาวยิวบอกมาใช้ในชีวิต โกโบริขับรถชน 2 ครั้ง ครั้งแรก เขาขี่จักรยานยนต์ไปชนผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งล้มลง เขารีบหยุดรถ พร้อมกับพูดออกมาดัง ๆ ว่า “ขอบคุณ” เขารีบลงจากรถมาดู คุณป้าคนนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ยังสามารถลุกขึ้นเดินไปขึ้นรถพยาบาลที่มารับได้เอง โกโบริไปโรงพยาบาลกับเธอ ให้แพทย์ตรวจดูเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรจริง ๆ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ได้ทำความรู้จักกัน คุณป้าคนนี้เป็นชาวไร่ อยู่ตัวคนเดียว เมื่อทราบว่าโกโบริยังเป็นนักศึกษาเรียนปริญญาโทอยู่ ก็เลยขอให้โกโบริมาช่วยทำงานที่บ้านเพื่อเป็นรายได้พิเศษ โกโบริทำงานวันละ 2-3 ชั่วโมง แต่คุณป้าก็ให้รางวัลตอบแทนแก่เขาเป็นเงินก้อนใหญ่ เหมือนญาติผู้ใหญ่เมตตาแก่ลูกหลาน

อุบัติเหตุครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากโกโบริเข้าทำงานในบริษัทแล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งขับรถมากับ ลูกสาวเล็ก ๆ ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง เมื่อเธอหันไปดูลูก ทำให้ไม่ทันระมัดระวังจนทำให้รถเสียหลักและเกิดชนกับรถของโกโบริพอดี รถเสียหายมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่คนขับก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ โกโบริก็พูดว่า “ขอบคุณ” ถ้าตามธรรมดาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะด่าว่ากันแล้ว แต่โกโบริก็ใจเย็นและไม่ได้รู้สึกโกรธ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายหนึ่งว่าบาดเจ็บหรือเปล่า เด็กที่เป็นลูกสาวปากกระแทก บาดเจ็บไม่มาก ฝ่ายแม่ที่ขับรถชนก็กล่าวขอโทษโกโบริหลายครั้งที่ตนเองขับรถโดยประมาท ต่างฝ่ายต่างพูดดีต่อกัน ไม่นานนักสามีและพ่อของผู้หญิงก็ตามมาที่เกิดเหตุ ทุกคนกล่าวขอโทษโกโบริกันใหญ่ แล้วตั้งแต่นั้นมา ครอบครัวนี้ก็คบหาสมาคมกับโกโบริเหมือนเป็นญาติสนิท

โชคดี (2)

ใช้คำสองคำนี้บ่อย ๆ ได้อย่างไร โกโบรินึกสงสัย หญิงชาวยิวก็สอนต่อไปว่า ให้ใช้คำพูดนี้ในทุกโอกาส แล้วก็แนะนำว่าอย่างนี้จะดีไหม เมื่อชีวิตมีปัญหา ต้องเจอกับอุปสรรค หรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือปัญหาหนัก ๆ ก็ตาม ให้พูดคำ ๆ นี้ออกมา เช่น เช้านี้ตื่นสายไปทำงานไม่ทัน เจอรถติด ตามปกติคนเราก็จะรู้สึกหงุดหงิด แต่หญิงชาวยิวก็สอนเขาให้พูดคำว่า “ขอบคุณ” ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ขับรถประสบอุบัติเหตุ พ่อตาย แม่ตาย ก็กัดฟันพูด “ขอบคุณ” เพราะหากมีเหตุการณ์ที่ไม่ดี ไม่ถูกใจเกิดขึ้นแล้ว เราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ก็เท่ากับใจเสีย ใจไม่ดี แล้วสิ่งที่ไม่ดีก็จะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนลูกโซ่ เป็นกฎธรรมชาติของโลกนี้ แต่ถ้าเราใช้คำว่า “ขอบคุณ” แล้วทำใจให้สบาย เปรียบเสมือนเราตัดขาดจากลูกโซ่ของสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้น ภาษาที่ไม่ดี ห้ามพูดเด็ดขาด ภาษาที่ไม่ดี เช่น คำพูดด่าว่าแสดงความโกรธ คำพูดนินทาว่าร้าย ตำหนิติเตียน ดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น ห้ามพูด เพราะการใช้ภาษาที่ไม่ดีจะนำชีวิตเราไปในทางที่ไม่ดี ตรงกันข้าม คำว่า “ขอบคุณ” จะนำเราไปสู่ความโชคดี มีความสุข ความทุกข์เศร้าหมองจะเปลี่ยนเป็นความสุขได้จริง ๆ

เมื่อโกโบริกลับไปญี่ปุ่นแล้ว มีอยู่วันหนึ่งที่เขานั่งอยู่ในห้องคนเดียว แล้วก็นึกถึงคำสอนของหญิงชาวยิว จึงหยิบปากกามาเขียนคำว่า “ขอบคุณ” เป็นภาษาญี่ปุ่น “อะริงาโต้” และเขาก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า คำว่า “อะริงาโต้” ที่เขียนเป็นตัวหนังสือคันจิมีความหมายของรากศัพท์ว่า “มีปัญหา” เลยยิ่งทำให้เขารู้สึกเชื่อมั่นมากขึ้น เมื่อมีปัญหาใด ๆ คำพูด “ขอบคุณ” คงจะเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยทำให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นได้

โชคดี (1)

สืบเนื่องจากปีใหม่ที่ผ่านมานี้ ประทับใจกับของขวัญชิ้นหนึ่ง เป็นหนังสือชื่อ “โชคดี” แค่ชื่อเรื่องก็เป็นมงคลซะขนาดนี้แล้ว พอได้อ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือ ก็ยิ่งชอบ โดยเฉพาะเรื่องที่ชื่อว่า “ภาษาศักดิ์สิทธิ์” ก็เลยถือโอกาสคัดลอกเรื่องราวนี้มาให้ผู้อ่าน 3-4 คนได้อ่าน เพื่อความเป็นสิริมงคลกับผู้อ่าน 3-4 คน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะชอบเหมือนกับที่ NaaToy ชอบ เรื่องราวนี้มาจากหนังสือชื่อ “โชคดี” โดย “พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก” เชิญอ่านได้เลยค่ะ

ภาษาศักดิ์สิทธิ์
อาจารย์เคยอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่นเล่มหนึ่ง เล่าถึงประสบการณ์จริงของชีวิตนักศึกษาชายคนหนึ่ง สมมติให้ชื่อว่าโกโบริก็แล้วกัน โกโบริเดินทางไปเที่ยวประเทศอิสราเอลในช่วงใกล้คริสต์มาส ซึ่งเป็นฤดูหนาว และเป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก ซึ่งส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวในประเทศอิสราเอล โกโบริไม่ได้จองโรงแรมไว้ล่วงหน้า เมื่อมาถึงเมืองไฮฟา (Haifa) ซึ่งแม้จะเป็นเมืองท่าใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของอิสราเอล แต่ไม่มีโรงแรมเปิดให้บริการเลย เขาพยายามหาโรงแรมที่จะพักค้างคืน แต่จนเกือบ 3 ทุ่มแล้วก็ยังหาไม่ได้ ยิ่งค่ำมืออากาศก็ยิ่งหนาวจัด ไฟตามถนนก็ค่อย ๆ ดับไป ๆ เขารู้สึกหดหู่และเหนื่อยมากจนรู้สึกเหมือนกับไม่ไหวแล้ว ก็พอดีมีผู้หญิงชาวยิววัยกลางคนคนหนึ่ง อายุน่าจะประมาณเดียวกับคุณป้าของเขา หญิงคนนั้นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเดินเข้ามาทักเขาเป็นภาษาอังกฤษว่า คุณเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายหรือเปล่า เพราะหน้าซีดมาก โกโบริจึงบอกกับหญิงชาวยิวว่า เขาเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางมาจากญี่ปุ่น กำลังหาโรงแรมที่จะพักคืนนี้ แต่ยังหาไม่ได้ หญิงชาวยิวก็บอกกับเขาว่า ถ้าหาที่พักไม่ได้ก็ให้มาพักที่บ้านของเธอก็ได้ พร้อมกับให้ที่อยู่และเขียนแผนที่ทางไปบ้านไว้ให้ โกโบริรู้สึกทั้งแปลกใจและตกใจ เพราะไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครอนุญาตให้คนแปลกหน้าและถ้าเป็นชาวต่างชาติไปพักค้างแรมที่บ้านของตน ถ้าเป็นในประเทศญี่ปุ่นแล้ว เรื่องแบบนี้ก็เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม โกโบริตอบขอบคุณหญิงชาวยิว แต่ก็ยังจะลองพยายามหาโรงแรมดูก่อน จนในที่สุดเมื่อไม่สามารหาโรงแรมได้ เขาจึงไปหาหญิงชาวยิวตามที่อยู่ที่เธอให้ไว้ พอไปถึงมองเห็นบ้านไม่มีหน้าต่าง เหมือนโลงศพ มีหญ้าขึ้นปกคลุมรก เขาก็ยิ่งรู้สึกกลัว แต่ก็ต้องทำใจกล้าหาญเดินเข้าไป ทันทีที่กดกริ่งเรียก หญิงชาวยิวก็เปิดประตูเหมือนกับว่ากำลังรอใครอยู่แล้ว เธอเชิญโกโบริเข้าไปในบ้าน บนโต๊ะอาหารมีซุปร้อน ๆ วางอยู่ 2 ชุด เธออยู่คนเดียว แต่กลับมีซุปวางพร้อมอยู่บนโต๊ะอาหาร 2 ชุด โกโบริรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกับ เมื่อได้รับประทานซุปร้อน ๆ แล้ว หญิงชาวยิวก็พูดคุยกับเขา เขาเพียงแต่เล่าว่าเขาเป็นนักศึกษาปริญญาโท ช่วงนี้ปิดเทอมก็เลยแบกเป้ออกเดินทางมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ชีวิต ส่วนหญิงชาวยิวก็เล่าเรื่องราวของตนเองให้โกโบริฟังว่า เธออพยพมาจากประเทศเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชีวิตที่ลำบากมาก สามีเธอเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์แต่ก็เสียชีวิตไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีลูกชายแต่งงานแล้วก็ย้ายออกจากบ้านไป โกโบริรู้สึกว่าเวลาพูดคุยกัน หญิงชาวยิวก็มองตาเขาอยู่ตลอด เหมือนกำลังอ่านใจเขาอยู่ จนเขารู้สึกประหม่าไม่กล้าสบตาด้วย เมื่อพูดคุยเล่าประสบการณ์กันพอสมควรแล้ว หญิงชาวยิวก็จัดห้องพักให้และเชิญให้เขาพักผ่อน

เมื่อได้สนทนากันแล้ว หญิงชาวยิวก็บอกกับโกโบริว่า อยากจะมอบคำศักดิ์สิทธิ์ให้กับโกโบริ เธอสอนเขาว่า ความโชคดีมีอยู่เสมอและความโชคดีสามารถเป็นของเราได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ถ้าเราพูดภาษาที่ดี ๆ บ่อย ๆ ความโชคดี โอกาสดี ๆ เกิดขึ้นได้กับทุกคน ภาษาที่ดี ๆ นี้เป็นภาษาธรรมดา คือคำว่า “ขอบคุณ” และ “ซาบซึ้งในพระคุณ” ให้ใช้คำสองคำนี้บ่อย ๆ แล้วจะพบสิ่งดี ๆ ในชีวิต

Saturday, January 3, 2009

4 วิธีการออกกำลังกายที่ไม่ช่วยเบิร์นไขมัน (ตอน 4)

4) Spinning Classes

ขอโทษที่ทำให้ใจเสีย แต่ spinning class นั้นไร้ผลอย่างมาก คุณอาจจะคิดว่า spinning นั้นเจ๋ง และรู้สึกว่ามันเบิร์นสุด ๆ เพราะเหงื่อกาฬที่แตกพลั่ก ๆ แต่การ spinning ไม่ได้เบิร์นไขมันได้มากพอกับการฝึก resistance training รวมกับการฝึก bodyweight exercises ซึ่งได้ผลมากกว่าการ spinning ถึงสองเท่าทีเดียว

แล้วการเสริมสร้างกล้ามเนื้อท่อนบนล่ะ คุณจะทำอย่างไร ถ้าคุณเข้าแต่คลาส spinning คุณจะมีขาที่แข็งแรง แต่แขนกลับห้อยต่องแต่ง คุณฝรั่งผู้เขียนบอกว่านั่นไม่ใช่ร่างกายที่เค้าต้องการ แต่สุดท้ายก็หยอดไว้ว่าการ spinning ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ

มีวิธีอีกมากมายในการเบิร์นไขมันออกไปอย่างเร็วโดยไม่ต้องใช้บริหารร่างกายแบบคาร์ดิโอเดิม ๆ แค่สร้างสรรค์นิดหน่อย แล้วคุณจะได้ผลที่ดีขึ้นเอง

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น และขอให้โชคดีกับการเบิร์นไขมัน

4 วิธีการออกกำลังกายที่ไม่ช่วยเบิร์นไขมัน (ตอน 3)

3) "Toning" Workouts - การบริหารร่างกายเพื่อให้เฟิร์มไปทั่วร่างกาย *** NaaToy แปลเอง ผิดถูกอย่างไร ขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

กี่ครั้งที่คุณบอกตัวเองว่า “ต้องลดตรงนี้” หรือ “อยากให้ต้นขาเฟิร์มจัง” หรือ “หลังแขนห้อยต่องแต่งเลย บริหารเพิ่มอีกดีกว่า” ถ้าคุณเคยบอกตัวเองอย่างนี้ หรืออาจจะคล้ายคลึงกันก็ตาม คุณก็กลายเป็นเหยื่อของข้อกังขาด้านการออกกำลังกายแล้ว นั่นก็คือไม่มีการลดไขมันเฉพาะจุด และการเพิ่มจำนวนครั้งให้มากขึ้นก็ไม่สามารถช่วยลดลงได้

คุณฝรั่งผู้เขียนบอกว่าเค้าชอบยกน้ำหนัก 6-12 ครั้ง เพราะจำนวนขนาดนี้ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเบิร์นไขมันในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงแต่จะเบิร์นแคลอรี่ได้มากแล้ว ถ้าทำได้ถูกวิธี คุณจะเบิร์นไขมันได้มากถึง 48 ชม. หลังจากการออกกำลังกายแล้วอีกด้วย

การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้เป็นประโยชน์ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย คุณฝรั่งผู้เขียนบอกว่าเค้าเห็นผู้หญิงหลายคนหลีกเลี่ยงการฝึก weight training และถ้าฝึก ก็ใช้น้ำหนักเบา ๆ เพราะส่วนใหญ่กลัวล่ำ ดูเป็นแมนเกินไป ถ้าใช้น้ำหนักที่พอดีล่ะก็ มันจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับมากขึ้น และเบิร์นไขมันได้มากขึ้น เป็นสิ่งที่ทำให้รูปร่างกระชับ เซ็กซี่ ขึ้น

ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการร่างกายกระชับ เซ็กซี่ ก็จงรวมเอาการฝึกประเภท multi-joint exercises เข้าไว้ในโปรแกรมการฝึก และใช้เวทน้ำหนักพอดี จะทำให้ได้ผลมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง

4 วิธีการออกกำลังกายที่ไม่ช่วยเบิร์นไขมัน (ตอน 2)

2. ทู่ซี้ฝึกคาร์ดิโออันแสนน่าเบื่อ

ฝรั่งผู้เขียนบอกไว้ว่า ทุกครั้งที่เค้าอยู่ในยิม เค้ามักจะเห็นคนเดิม ๆ ออกกำลังกายเดิม ๆ ที่ทำเมื่อวันก่อน ๆ ไม่เพียงแค่จะน่าเบื่อหน่ายในวันวานที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังคงออกกำลังกายแบบนั้นทุกวัน เค้าบอกว่า คนเดิม ๆ เหล่านี้ มักจะพบเห็นที่อุปกรณ์ elliptical, treadmill, หรือไม่ก็ stationary bike ฝึกกันเป็นชั่วโมง ๆ สายตาก็คอยจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขแคลอรี่บนหน้าปัด หวังว่าไว้สักวันหนึ่งคนเดิม ๆ เหล่านี้จะผอมลง

แล้วผลที่ได้คืออะไรกันล่ะ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สัปดาห์ต่อไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วสัปดาห์ที่ 12 ล่ะ ก็ไม่มีเช่นกัน สองปีต่อมาพวกเขาก็ยังคงรูปร่างเหมือนเดิม อาจจะมีเปลี่ยนแปลงบ้าง ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฝรั่งคนนี้เค้าเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้วันแล้ววันเล่า แต่คำถามสำคัญก็คือ ทำไมไม่เปลี่ยนการฝึกบ้างเล่า คำตอบที่ฝรั่งคนนี้ได้รับก็คือ “เอ่อ ฉันต้องคาร์ดิโอให้มากขึ้นน่ะ…” ฝรั่งผู้เขียนได้ยินเทรนเนอร์บางคนบอกสิ่งเหล่านี้กับคนเดิม ๆ ที่ยังคงฝึกอย่างหนัก และคิดว่าถ้าพวกเขายังอยู่ในโซน fat burning มิช้ามินานเจ้าไขมันก็จะจากไปเอง

ฝรั่งผู้เขียนเค้าว่า…ไขมันมันไม่จากไปไหนหรอก และการฝึกคาร์ดิโอมากเกินไปจะทำให้คุณเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่า ๆ คาร์ดิโอสัปดาห์ละ 7-10 ชม. นั้นไม่ได้ผลหรอก…หรืออาจจะได้ผล แต่เป็นศูนย์นั่นเอง

บ่อยครั้ง คนเดิม ๆ พยายามให้ระดับอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในโซน fat burning เพราะมันเป็นเสมือนสิ่งที่บ่งชี้ว่า ไขมันกำลังลดลง นอกจากนี้ยังตั้งหน้าตั้งตาจดจ้องที่หน้าปัดแคลอรี่ราวกับเหยี่ยวมองเหยื่อ เสียเวลาเปล่า ๆ

อุปกรณ์การดลไขมันที่คุณฝรั่งคนเขียนโปรดน้อยที่สุด เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่นิยมกันมากที่สุดที่ทำให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ ก็คือ elliptical machine บอกลาเจ้า elliptical machine และการบริหารประเภทคาร์ดิโออันแสนน่าเบื่อ และเริ่มเบิร์นไขมันด้วยการออกกำลังกายประเภท multi-joint compound ด้วยระดับ high intensity ดีกว่า

4 วิธีการออกกำลังกายที่ไม่ช่วยเบิร์นไขมัน (ตอน 1)

1. การบริหารหน้าท้องนับครั้งไม่ถ้วน

บางครั้งความจริงมันก็สุดแสนจะเจ็บปวด แต่นี่คือความจริง คุณจะเสียเวลากับการซิตอัพเป็นพัน ๆ ครั้ง มันไม่ช่วยลดรอบเอวหรือลดไขมันจากหน้าท้องได้เลย เปลี่ยนไปออกกำลังกายประเภท compound multi-joint ซึ่งช่วยบริหารกล้ามเนื้อมัดหลักดีกว่า


สิ่งสำคัญที่สุดที่ช่วยเบิร์นไขมันก็คือ
1. การโภชนาการ/การควบคุมอาหาร
2. ยุทธวิธีในการออกกำลังกาย
3. Core strengthening - การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในส่วนของลำตัว *** NaaToy แปลเอง ผิดถูกอย่างไร ขออภัยมา ณ ที่นี้ ***

Top Three Exercises เพื่อการเบิร์นไขมันได้เร็วและง่ายแสนง่าย!

ภาวะน้ำหนักตัวมากเกินไปนั้นเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเลือดสูง หลอดโลหิตอุดตัน เป็นต้น

แล้ว… ออกกำลังกายประเภทใดที่ดีที่สุดสำหรับการลดไขมันกันล่ะ?

การออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลดน้ำหนัก ทำให้หัวใจสูบฉีดและทำให้เหงื่อออกมากขึ้น ทำให้อัตราการเผาผลาญสูงขึ้น มันจึงช่วยกำจัดแคลอรี่ได้มากขึ้นด้วย

1. เดิน จ๊อกกิ้ง วิ่ง ทั้งสามประเภทนี้เหมาะกับการลดน้ำหนัก คุณสามารถเลือกฝึกสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือฝึกทั้งสามประเภทเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุและสุขภาพของคุณ
2. ว่ายน้ำ
3. Compound exercises เช่น squats, dead lifts, bench presses

นอกจากนี้แล้วคุณควรระมัดระวังในการรับประทานอาหาร การไดเอตมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับไขมัน หลีกเลี่ยงอาหารประเภทจังก์ฟู๊ดและอาหารที่มันเยิ้ม ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ รับประทานผักใบเขียว ผลไม้ แยะ ๆ การไดเอตที่ถูกต้องควบคู่กับการออกกำลังกายที่กล่าวไปแล้วเวิร์คต่อการเบิร์นไขมัน

สุดท้าย...รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และคอยดูแลสุขภาพเป็นประจำ

***NaaToy จะพยายามทำเหมือนกัน แต่…คงทำได้แค่ข้อ 1. กับ 3. เท่านั้น และจะพยายามควบคุมอาหารด้วย เพื่อสุขภาพ***

Happy New Year 2009

Happy New Year 2009 จ้ะ

เมื่อวันที่ 1 มค. ที่ผ่านมา NaaToy ได้รับข้อความนี้จากน้องคนหนึ่ง ความว่า “ท้อเป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร” ปีใหม่นี้จงทำความดี ขอให้พบแต่สิ่งที่ดี ๆ มีแต่ความสุขสมหวังตลอดไปนะครับ

อู้หู…เป็นคำอุทานที่ได้อ่านครั้งแรก ประมาณแนวสุด ๆ เป็นข้อความที่ประทับใจที่สุดในปีนี้ ขอบคุณน้องคุ้งมา ณ โอกาสนี้

รู้ตัวว่าหายไปนานแสนนาน ประมาณ 4 เดือนเห็นจะได้ ข้อแก้ตัวก็คืองานเยอะ สนุกกับการออกกำลังกายมากไปหน่อย และสุดท้ายสนุกกับการกินด้วย ก็เลยแข็งแรงแต่…อวบไปหน่อยนึง ปีใหม่นี้ NaaToy จะพยายามกินพอดี ๆ ไม่ตามใจปากแล้ว สัญญากับตัวเองและผู้อ่านอีก 3-4 คน

ปี 2552 นี้ NaaToy จะพยายามนำเอาเรื่องราวต่าง ๆ มาลง ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย เรื่องเที่ยว เรื่องสุขภาพ และเรื่องสั้นที่อยากแปลมาให้อ่านกัน สัญญา…

ขอให้ผู้อ่านและครอบครัวมีความสุขกันทั่วทุกคนนะจ๊ะ
ด้วยความปรารถนาดี
จาก NaaToy