Thursday, January 17, 2008

ติดเชื้อในกระแสเลือด (หลายกระแส)

เมื่อวานนี้ (16-1-51) ไปงานศพของพี่ที่ทำงานมา แกเสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือด

ได้รับฟังข่าวมาหลายกระแสมาก เกี่ยวกับสาเหตุว่าทำไมแกถึงเสียชีวิตอย่างนั้น พอสรุปได้ว่า..

กระแสแรก - ในแง่ของผู้ที่เกี่ยวพันกับผู้ตายโดยตรง
ก็จะประมาณว่า ผู้ตายแกปวดกราม และประกอบกับการเป็นไซนัสด้วย ก็เลยทำให้แกหน้าชา เป็นไข้ แกก็เลยไปหาหมอที่สถานพยาบาล หมอเห็นว่าอาการแกเป็นค่อนข้างเยอะ ก็เลยทำเป็นหนังสือให้เข้ารับการรักษาที่รพ.ใกล้ที่ทำงาน ก็ปรากฎว่า นอนสองคืนก็แล้ว ยังไม่มีใครมาดูมาแลแกเลย ญาติ ๆ ก็เลยตัดสินใจว่า จะไปรักษาที่รพ.อีกที่หนึ่งแทน ขณะที่ญาติ ๆ กำลังจ่ายเงินอยู่ ผู้ตายก็ช็อค ต้องปั๊มหัวใจกันยกใหญ่ แล้วต้องเข้าห้องไอซียูกันอีก พอวันจันทร์ (14-1-51) ประมาณสามทุ่ม แกก็เสียชีวิต ด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือด

กระแสที่สอง - ในแง่ของผู้ที่เกี่ยวพันกับหมอพยาบาล
ก็จะประมาณว่า ผู้ตายแกปวดกราม และประกอบกับการเป็นไซนัสด้วย ก็เลยทำให้แกหน้าชา เป็นไข้ แกก็เลยไปหาหมอที่สถานพยาบาล หมอตรวจแล้วพบว่า ที่แกปวดน่ะ เป็นเพราะมันเป็นหนองนั่นเอง ไม่สามารถรักษาได้ ก็เลยทำเป็นหนังสือให้เข้ารับการรักษาที่รพ.ใกล้ที่ทำงาน หมอก็เอาเชื้อที่เป็นหนองไปเพาะเชื้อ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3 วันจึงจะรู้ผล จากการที่ญาติอ้างว่า นอนสองคืนก็แล้ว ยังไม่มีใครมาดูมาแลแกเลย ก็มีคนแย้งมาว่า คุณก็ต้องไปสอบถามหมอ หรือพยาบาล ซิ ว่า คนไข้น่ะเป็นอะไร ไม่ใช่ว่า จู่ ๆ หมอหรือพยาบาลจะเข้ามาหาคุณ แล้วเล่านู่นนี่อะไรให้ฟัง

และจากการที่นอนสองคืนแล้ว ยังไม่มีใครมาดูมาแลแกเลย ญาติ ๆ ก็เลยตัดสินใจว่า จะไปรักษาที่รพ.อีกที่หนึ่งแทน ขณะที่ญาติ ๆ กำลังจ่ายเงินอยู่ ผู้ตายก็ช็อค ต้องปั๊มหัวใจกันยกใหญ่ แล้วต้องเข้าห้องไอซียูกันอีก พอวันจันทร์ (14-1-51) ประมาณสามทุ่ม แกก็เสียชีวิต ด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือด ที่แกเสียชีวิต ก็เนื่องจากว่าร่างกายแกอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แกเป็นทั้งความดัน ไขมันในเลือดสูง หัวใจ การติดเชื้อในกระแสเลือดจึงทำให้แกเสียชีวิตได้นั่นเอง

เหตุการณ์นี้สอนให้รู้ว่า การดูแลร่างกาย และรักตัวเอง เยอะ ๆ น่ะ ดีที่สุดแล้ว
แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเข้ารับการรักษาที่รพ. ไม่ว่าจะเป็นด้วยโรคอะไรก็ตาม ก็ควรจะขี้สงสัยเข้าไว้ ต้องคอยถามอาการว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ฯลฯ

ยังไงก็...ขอแสดงความเสียใจกับญาติ ๆ พี่เค้ามา ณ ที่นี้ด้วย

No comments: