Friday, February 29, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนหก - ปราสาทพระขรรค์)

ปราสาทพระขรรค์ สร้างในปี พ.ศ.1734 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ณ บริเวณที่พระองค์ทรงสังหารกษัตริย์จามได้ และเพื่อเป็นการถวายแด่ พระบิดาของพระองค์

มีชื่อทางราชการว่า ปราสาทชัยศรี หรือโชคลาภแห่งชัยชนะ ซึ่งก็หมายถึง ชัยชนะที่มีต่อพวกจามซึ่งเป็นอริราชศัตรู

ต่อมาก็ได้รับการขนานนามใหม่เป็น ปราสาทพระขรรค์ เนื่องจากเป็นสถานที่เก็บ พระขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นพระแสงดาบที่พระองค์ทรงใช้สู้ศึกนั่นเอง

จากจารึกปราสาทพระขรรค์เป็นมากกว่าวัดหรือสุสานหลวง แต่เป็นเหมือนเมืองขนาดย่อมที่มีเนื้อที่มากกว่า 350 ไร่ ที่มีทั้งศาสนสถาน โรงพยาบาล และสถานศึกษา นอกจากนี้จารึกยังบอกอีกด้วยว่าเคยมีครูอาศัยในปราสาทมากกว่า 1,000 คน


"ตัวปราสาทที่ปกคลุมด้วยรากตันสะปงยักษ์"

ANGKOR TRIP (ตอนห้า - ลานช้าง ลานพระเจ้าขี้เรื้อน)

ลานช้าง (ELEPHANT TERRACE) (หรืออีกชื่อเรียกว่าลานดัมเร็ย)

สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการบูรณะเพิ่มเติมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 เป็นศิลปะแบบบายน

ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองพระนครหลวง หันหน้าเข้าสู่ลานกว้างเรียกว่าสนามหลวง ผนังฐานพลับพลาสร้างด้วยหินสลักเป็นรูปช้างและครุฑพ่าห์

พื้นพลับพลาเป็นหินตั้งอยู่ด้านหน้าประตูพระราชวังมีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน คือมุขช้างเอราวัณและมุขรูปครุฑพ่าห์มีบันไดขึ้นลงได้ 5 ทาง บันไดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นทางพระราชดำเนินที่จะใช้ลงไปยังสนามหลวงของพระมหากษัตริย์เท่านั้น

จุดประสงค์ของการสร้างลานช้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรการสวนสนาม การซ้อมรบ และการเฉลิมฉลองต่างๆ ตลอดจนการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ

ลานพระเจ้าขี้เรื้อน สร้างในพุทธศตวรรษที่ 18 – 19 ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
โดยที่ไม่ทราบชื่อ จึงถูกขนานนามขึ้นใหม่ เชื่อกันว่าเป็นศาลตัดสินโทษ และมีการบูรณะเพิ่มเติมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 เป็นศิลปะแบบบายน

ชื่ื่อลานพระเจ้าขี้เรื้อนว่ากันว่าเกิดจากลานแห่งนี้เคยมีประติมากรรมลอยตัวรูปคนชันเข่าที่มีไลเคน และเชื้อราจับรูปจนเป็นด่างเป็นดวงไปเต็มหมด ซึ่งสอดคล้องกับตำนานที่กล่าวถึงกษัตริย์องค์หนึ่งได้หลับนอนกับนางนาค แล้วฆ่านางนาคตาย แล้วเลือดของนาคกระเซ็นถูกพระวรกายทำให้เป็นโรคขี้เรื้อน
ลานนี้ มีภาพสลักนูนสูงที่ระเบียง เป็นภาพพญายมมีนางนาคอยู่ทั้งสองข้าง กล่าวถึงเมืองบาดาล อันเป็นที่พักอาศัยของนาค

ที่มุมระเบียงมีภาพสลักนูนสูงของนาค 9 เศียร และ 5 เศียรอยู่ข้างบน ภาพพญายมจะถือพระขรรค์นั่งในท่าขัดสมาธิและชันเข่าถ้าเป็นสตรีมักจะมีศิราภรณ์ (คล้ายๆมงกุฏ) สวมใส่บนศีรษะ นั่งในท่าพับเพียบหรือชันเข่า มือประนมถือดอกบัว
มีบางรูปที่แขว่งพระขรรค์แขนตั้งวงโค้งวางมืออยู่บนศีรษะอย่างสวยงาม ภาพสลักนูนสูงแถวที่สอง เป็นรูปยักษ์และรูปครุฑ ซึ่งมีทั้งรูปจริงและรูปจำแลง ภาพสลักแถวที่สามเป็นรูปเทวดา

ANGKOR TRIP (ตอนสี่ - ปราสาทพิมานอากาศ)

ปราสาทพิมานอากาศ สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 15 สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 และพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เป็นศิลปะแบบคลัง

ปราสาทนี้ เป็นปราสาทหลังเดียวที่ก่อสร้างด้วยหินทรายอยู่บนฐานศิลาแลง ซ้อนกันเป็น 3 ชั้น คล้ายปิรามิด รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้ามีบันไดลาดชันทั้ง 4 ด้าน
ทางเข้าชมพระราชวังต้องเดินผ่านฐานขึ้นบนพลับพลาสูงไปตามบันไดครุฑ เพราะพระราชวังนี้อยู่บนพลับพลาสูง เมื่อขึ้นไปสู่พลับพลาสูงจะเห็นประติมากรรมรูปสิงห์ ศิลปะสมัยบายนยืนผงาดอยู่เชิงบันไดทั้งสองข้าง

บนฐานพลับพลาสูงแห่งนี้ยังมีร่องรอยการปลุกสร้างพลับพลาในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ให้ออกว่าราชการตรวจพลสวนสนาม หรือประกอบพิธีทางศาสนา ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยอีกแล้ว เพราะสิ่งก่อสร้างทำจากไม้ทางขึ้นสู่ปราสาท

มีบันไดอยู่กลางฐานทั้งสี่ทิศหลัก แต่ส่วนใหญ่แตกหักพังทลาย ที่มีสภาพดีที่สุดคือทิศตะวันตก สองด้านของบันไดทางขึ้นขนาบข้างด้วยประติมากรรมลอยตัวรูปสิงห์ และรูปช้างที่มุมฐานทั้งสามชั้น ตัวปราสาทบนฐานชั้นบนสุดด้านนอกเป็นระเบียงคตทำจากหินทราย

จากบันทึกของจิวต้ากวนกล่าวว่าในปราสาทแห่งนี้กษัตริย์ขอมตะต้องเสด็จมาบรรทมกับนางนาคเก้าเศียรที่จะแปลงร่างเป็นสาวงามทุกคืน ซึ่งเป็นตำนานที่เล่าขานกันในหมู่ชาวจีนที่มีอาศัยอยู่ในเมืองพระนครหลวงสมัยนั้น

ตกลงว่าปราสาทนี้ไม่มีใครปีนบันไดขึ้นไป พากันอ้างว่ามันไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้ว มันไม่มีแรงต่างหาก

ANGKOR TRIP (ตอนสาม - ปราสาทบาปวน)

ปราสาทบาปวนสร้างขึ้นเพื่อต้องการให้เป็นศูนย์กลางของเมือง จัดเป็นปราสาทแรกในกลุ่มปราสาทเมืองพระนคร

เป็นศิลปะแบบบาปวน (พ.ศ.1553-1623) ทับหลังมีลักษณะเป็นการเล่าเรื่อง โดยมีภาพบุคคลเป็นส่วนใหญ่ มีรูปของหน้าสัตว์ประหลาดโดยการผสมผสานรวมกับเทวดาที่นั่งอยู่ภายในซุ้ม หรือบางภาพอาจเป็นการเล่าเรื่องของ กฤษณาวตาร

ทางเดินผ่านตัวปราสาทเป็นสะพานหินยกระดับทอดยาว ทางเดินเข้าผ่านโคปุระ - กำแพงล้อมรอบตัวปราสาท ทำเป็นช่องเพื่อใช้เป็นทางเข้า-ออก ทำไว้ทั้งหมด 4 ทิศ โดยอาจทำเป็นแบบซุ้มประตู หรืออาจเป็นแค่ลานยกพื้นและช่องสำหรับใช้เข้าออกส่วนอาณาบริเวณ NaaToy - เป็นรูปกากบาท 3 ทาง

ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ที่ตั้งของปราสาทอยู่ในเขตพระราชวังหลวง เป็นปราสาทที่มียอดสูง มีหลักฐานจากการบันทึกของจิวต้ากวนราชทูตจากเมืองจีนในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 กล่าวไว้ว่า ยอดปราสาทบาปวนเคลือบด้วยสำริดแลอร่ามแต่ไกล หากยอดไม่หักพังเสียก่อน คาดว่าปราสาทบาปวนอาจมีความสูงกว่าปราสาทพิมานอากาศ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน ปัจจุบันนี้ปราสาททรุดโทรมมากและกำลังได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่อง

เอ่ยถึงปราสาทพิมานอากาศแล้ว เราก็ไปต่อกันเลยดีกว่า

Wednesday, February 27, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนสอง - ปราสาทบายน)

21 กพ. 2551
กินข้าวเช้า เป็นข้าวต้มไก่ฉีกใส่ถั่วงอก ซึ่งของเค้าจะเป็นต้นเล็ก ๆ หัวโต ๆ ดูน่ารัก ก็อร่อยดี หวานซะไม่มี มารู้ทีหลังว่า ที่หวานก็เพราะว่าเค้าใส่ผงชูรสเยอะนั่นเอง


สักพักก็มีคนมาสั่งซื้อใส่ถุง เค้าก็ใช้ถุงก๊อบแก๊บที่เราใช้กัน ที่เป็นถุงขาว ชมพู กันนี่แหละ แต่บางกว่าเราเยอะ ตักข้าวต้มลงไป แล้วก็มัดปากถุง

เราก็ได้แต่ โอ้ โฮ เฮะ พลาสติกมันไม่ละลาย ไหลลงไปในท้อง พลางจับตัวกันเป็นก้อน ไหลจากกระเพาะ ไปอุดตันที่ลำไส้ใหญ่หรือนี่ แต่ก็…เรื่องของบ้านเมืองเค้านี่เนอะ

กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็แต๊ดแต๋ไปซื้อตั๋วเข้าชมนครวัดกัน เป็นตั๋ว 3 วัน มีการถ่ายรูปติดบัตรอีกต่างหาก รูปงดงามยิ้มร่าเริงเบิกบาน

พอซื้อตั๋วเสร็จก็ไปที่ปราสาทบายน ต่อไปนี้จะเป็นความรู้ล้วน ๆ (ได้จากเพื่อนเก๋ แอ่น กลุ่มหัวหน้าคณะทัวร์ ซึ่งต่างก็อุตส่าห์โดดงานมาทำ Research นครวัด นครธม ขอปรบมือดัง ๆ มา ณ ที่นี้ ในการอุทิศตัวของพวกเธอ)


ปราสาทบายน มีลักษณะเป็นศิลปะของแบบบายนเอง คือ แสดงเรื่องราวของประวัติศาสตร์ เช่น ภาพยุทธนาวีอันยิ่งใหญ่ระหว่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 รบพุ่งกับพวกจาม ที่โตนเลสาบ มีภาพแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวการดำรงชีวิตในสมัยก่อน และภาพชีวิตทั่วไป

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างปราสาทนี้ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของนครหลวงที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่

เหตุเพราะพระองค์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา นิกายมหายานเป็นอย่างมาก จึงปฏิวัติรูปแบบการสร้างปราสาทจากลักษณะปรางค์ สู่การสร้างในลักษณะปราสาทที่มียอดเป็นพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือเจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง

จำนวนพระพักตร์ดังกล่าวมีมากถึง 216 พระพักตร์ โดยสร้างเป็นยอด ๆ ละ 4 พระพักตร์รวม 54 ยอด ซึ่งมีความหมายถึงพระเนตรของพระองค์ ที่คอยสอดส่องดูแลประชาราษฎร ทั้ง 54 หัวเมืองขึ้น

ชื่นชมความงามเรียบร้อย ทั้งอึ้ง ทั้งทึ่งในความสามารถของคนยุคโบราณแล้ว พวกเราก็ไปยังปราสาทบาปวน กันต่อ

Tuesday, February 26, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนแรก)

20 กพ. 2551
พวกเราสาวไทยใจกล้าทั้งเก้า ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งกะเช้ามืด เพราะตั้งใจจะให้ถึงด่านเช้าหน่อย จะได้ไม่เจอคนเยอะแยะแน่นขนัด


เมื่อผ่านขั้นตอนต่าง ๆ จนเข้ามาถึงด่านปอยเปตแล้ว และจากการที่หัวหน้าไกด์ได้ศึกษาการเดินทางท่องเที่ยวมาแล้ว ก็ใช้วิธีเช่ารถแท็กซี่ Toyota Camry ซึ่งถ้าอยู่เมืองไทย ก็คงไม่มีปัญญาที่จะขึ้นรถพรรณนี้ได้เป็นแน่

จากนั้นก็เดินทางสู่เสียมเรียบ รถแท็กซี่แล่นเร็วปานพายุ (เหยียบประมาณ 80 กม./ชม.) มีทั้งพายุแดง หมอกฝุ่นขาว สลับกันไป ฝุ่นตลบอบอวลกันไปตลอดทาง คือขับประมาณว่า ฉันไม่สนใจว่ารถมันจะเป็นอย่างไร ก็แล่นตู้ม ตู้ม กันไป แบบว่า...ใช้รถโคตรคุ้มน่ะ นอกจากนี้แล้ว ถนนก็ยังเป็นหลุม เป็นบ่อ เป็นเนินหลังเต่าบ้าง ซึ่งคาดว่าจะทำให้รถช้าลง แต่…มันมิได้ช้าลงไปสักนิดเลย มีแต่จะทำให้คนที่นั่งในรถหัวโขกกับหลังคารถ แต่…ก็ดีมันทำให้ประสาททุกคนตื่นตัวกันดี

แต่มิใช่ว่าจะไม่มีถนนดี ๆ บ้างเลย มีถนนดีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน ก็คงสักกิโลสองกิโลล่ะมั้ง ช่วงนั้น จะรู้สึกว่า โอ้ว…การเดินทางครั้งนี้ มันยังมีดีบ้างนะ คือ นิดนึงก็ยังดี ให้พอหายใจได้ทั่วท้องน่ะ แต่เนื่องจากถนนเรียบไง คุณโชเฟอร์ก็เลยเร่งความเร็วถึง 120 แน่ะ อุแม่จ้าว…

และด้วยฝุ่นขาว ฝุ่นแดง นี่แหละ จะสังเกตเห็นว่า ต้นไม้ข้างทาง ใบไม่สีเขียวสดใส เหมือนที่อื่น ๆ ทั่วไป ถ้าถนนแดง ใบไม้ก็จะสีออกแดง ๆ ส้ม ๆ กันไป หลังคาบ้านข้างทางก็จะออกแนว ๆ ส้ม ๆ แดง ๆ ไม่รู้ว่าเป็นสนิม หรือเพราะฝุ่นกันแน่

ก็จะมีแวะข้างทาง เติมแกส ถ้าเข้าใจไม่ผิด ก็คือแกสหุงต้มเราดี ๆ น่ะแหละ เค้าจะคว่ำหัวแกสลง แล้วอัดแกสเข้าถังในรถแท็กซี่ ที่นี่ก็มีป้ายห้ามสูบบุหรี่นะ ไม่ใช่ไม่มี แต่...ปรากฎว่ามีรถคันหนึ่งมาจอดเติมแกส พระรูปหนึ่งก้าวลงมาจากรถ พร้อมมวนบุหรี่ ซึ่งกำลังสูบอยู่ เดินมาใกล้ ๆ กับรถพวกเรา พวกเราทำอะไรไม่ได้ นอกจาก...พากันเสียวสันหลังไปตาม ๆ กัน

ไปได้สักพัก ก็มีการแวะล้างรถกันไป ซึ่งไม่เข้าใจว่าจะล้างกันทำไม เพราะเดี๋ยวก็ต้องวิ่งฝ่าพายุฝุ่นแดง ขาว กันอีก แล้วจะล้างให้มันได้อะไรขึ้นมา ไม่เข้าใจ

นอกจากวิ่งมันจะขับแบบไม่เกรงใจรถแล้ว มันยังจะรีบไปไหนไม่รู้ คือ ถ้าเลนตรงข้ามไม่มีรถ ฉันก็จะต้องแซงให้ได้น่ะ แล้วจะกดแตร ประมาณความหมายว่า เฮ้ย…ขอแซงนะโว้ย แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ จักรยาน หรือคน ก็จะกดแตรเหมือนกัน ประมาณว่า หลบข้างทางไปเลย อย่าเข้ามาเบียด เดี๋ยวเจอดี จะหาว่าไม่เตือนนะเฟ้ย แต่ถ้าเป็นรถบรรทุก ก็จะกดแตร ความหมายประมาณว่า พี่…ขอผมแซงหน่อยนะพี่นะ อย่าง...เจียมเนื้อเจียมตัว


รถมันวิ่งเร็วซะขนาดนั้น แต่ก็ยังทำให้เราเคลิ้ม ๆ กันไปบ้าง มีอยู่ช่วงหนึ่ง รถคันเราเกิดพากันหลับหมด (ยกเว้นคนขับ มิสามารถหลับได้ มิฉะนั้นจะพากันขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้ากันไปหมดเป็นแน่) ก็เกิดเสียงดังตู้ม…ไอ้เราซึ่งนั่งเบาะหน้าติดกับคนขับ ก็สะดุ้งตื่น มองไปด้านหน้า เป็นหมอกขาวเต็มไปหมด ซึ่งพอคุ้นแล้วว่า มันเป็นโคตรฝุ่นน่ะ ถ้าไม่รู้มาก่อน ก็คงนึกว่าอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์แล้วเป็นแน่

พอสติฟื้นกลับมาก็นึกแค่ว่า รถมันคงเบรคกระทันหันน่ะ แต่ที่ไหนได้ ปรากฎว่ารถเราไปชนกับรถคันหน้า ซึ่งเป็นรถพวกเดียวกันนั่นแหละ เพราะคันหน้าเบรคกระทันหัน ไอ้รถคันเราขับมาแรงเต็มเหนี่ยว เบรคไม่ทันก็เลยชนโครมเข้าให้ หน้ายู่กันไปทีเดียว แถมประตูด้านหน้าฝั่งเราก็เปิดไม่ได้อีกต่างหาก

พอถึงโรงแรม ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราก็พากันไปที่โตนเลสาป ซึ่งว่ากันว่าเป็น ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันก็จะประมาณปากน้ำบ้านเรานั่นแหละ คือแล่นเรือออกไปสักพัก แล้วก็จะเจอทะเลใหญ่ อะไรประมาณนั้น แต่น้ำที่นี่จะเป็นประมาณสีโคลน หรือสีน้ำชาเย็น ดูแล้วทำให้นึกกระหายชาเย็นเป็นกำลัง เข้าใจว่า ดินที่นี่เป็นดินที่ออกสีแดง ๆ (สังเกตจากบริเวณฝั่ง) มันก็เลยทำให้สีน้ำเป็นลักษณะนั้น

บ้านเรือนทั้งสองฝั่ง และแม้แต่บนผืนน้ำเองก็ตาม จะเป็นพวกเวียดนามมาอยู่อาศัยกัน ซึ่งจะมีแพเต็มไปหมด ขนาดว่าพอออกไปทะเลสาปแล้ว ก็ยังมีแพเหมือนกัน มีทั้งแพขายน้ำมัน แพขายของ และแม้แต่แพโรงเรียน ดู ๆ แล้วก็เท่ดี เพราะนักเรียนคงจะโดดเรียนกันยาก เพราะถ้าโดดก็คงต้องโดดลงน้ำ คงจะมีเสียงดังตูม ตัวเปียกกันไป

ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวนั่งเรือชมทะเลสาปกันมากมาย ทั้งฝรั่ง ทั้งเอเชีย บางคนถึงกับกิ๊วก๊าวพวกฝรั่ง แบบว่า...หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว อะไรทำนองนี้

กลับโรงแรมแล้ว เย็น ๆ ไปกินบุปเฟ่ต์ พลางดู Apsara Dancing กันไป ก็เหมือนการฟ้อนรำ ระบำพื้นบ้าน โขน แบบบ้านเรานั่นแหละ แต่ถ้าเปรียบเทียบแล้ว บ้านเราดูดีกว่าเยอะ ดูมีรายละเอียดมากกว่า รู้สึกภูมิใจในความเป็นไทยขึ้นมาทันที

ทะเลสาปสีชาเย็น
-เด็กน้อยกำลังร้องขายกล้วย หนึ่งดอลล่าห์ -

Monday, February 18, 2008

ออกกำลังกายอย่างไรให้ได้ผล แถมยังฟิตตลอดไปอีกต่างหาก

แน่นอนว่าการออกกำลังกายมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้สุขภาพแข็งแรง แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ออกกำลังกายไม่เพียงพอ และมีอีกจำนวนหนึ่งที่ออกกำลังกายมากจนเกินไป และจบลงด้วยอาการ over training ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และทำให้ไวต่ออาการเจ็บไข้ได้ป่วยอื่น ๆ อีกต่างหาก

ความสมดุลในการพักผ่อนและการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และอาหารก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ข้อแนะนำดี ๆ ก็คือ คุณควรบริโภคอาหารมื้อเล็ก แต่มากครั้ง และให้แน่ใจว่าคุณกินอาหารธรรมชาติด้วย เช่น ผักสด ผลไม้สด เป็นต้น

รูปแบบการออกกำลังกายหลัก ๆ มีสองประเภท ได้แก่ การฝึกประเภท aerobic และ strength training ทั้งสองประเภทนี้สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการออกกำลังกาย คำว่า aerobic เป็นการออกกำลังกายแบบใช้อากาศ เมื่อคุณบริหารร่างกายแบบแอโรบิค ร่างกายจะถูกบังคับให้หายใจลึกขึ้น มากขึ้น งานวิจัยต่าง ๆ พบประโยชน์ทางสุขภาพอันน่าประหลาดใจว่า มันช่วยเพิ่มระดับพลังงานและการกำจัดของเสีย ความมากน้อยของการบริหารร่างกายแบบแอโรบิคนั้นที่เราต้องการนั้น แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

ถ้าคุณทำงานในสภาพที่ต้องยืนและเคลื่อนไหวมาก คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องเพิ่มโปรแกรมการออกกำลังกายแบบแอโรบิคเข้าไปในชีวิตของคุณ แต่ถ้าการทำงานปกติของคุณแล้ว อยู่ในลักษณะที่ต้องนั่งและไม่เคลื่อนไหวอะไรมากมาย มันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณในการจัดโปรแกรมการฝึกประเภทนี้เข้าไปด้วย

การออกกำลังแบบแอโรบิคนั้นมีหลายวิธี สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ คุณต้องเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ ไม่นิ่งเฉย วิธีบริหารง่าย ๆ ก็ด้วยการเดินกลางแจ้งสักชั่วโมงในสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย หรือไม่ก็ไปที่ฟิตเนส ใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายประเภทแอโรบิค เช่น stair master (เครื่องออกกำลังกายที่คล้ายกับการวิ่งขึ้นบันได) หรือ treadmill (ลู่วิ่ง) สัก 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

นอกจากนี้ คุณยังหาซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายประเภทแอโรบิคคุณภาพดี ๆ ได้ เช่น จักรยานอยู่กับที่ ซึ่งหาซื้อได้สบาย ๆ คุณสามารถออกกำลังกายที่บ้านเองได้

การฝึก Strength training นั้นก็สำคัญมาก เพราะมันช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มการเผาผลาญ คุณจะสามารถเบิร์นไขมันได้แม้ขณะที่คุณไม่ได้ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก

Weight training หรือการฝึกยกน้ำหนัก เป็นวิธีสำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การฝึกประเภท bench press และ leg press ได้ผลยิ่งนัก เพราะมันมุ่งบริหารกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของร่างกายทั้งท่อนบนและท่อนล่าง สิ่งสำคัญก็คือไม่ควรฝึกยกน้ำหนักมากจนเกินไป เพราะในแต่ละครั้ง ร่างกายต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวค่อนข้างนาน

จำนวนสูงสุดของการออกกำลังกายในแต่ละสัปดาห์ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่คุณยก ยิ่งคุณยกน้ำหนักมากเท่าไหร่ คุณก็จำเป็นต้องพักมากขึ้นเท่านั้น เพื่อการฟื้นตัวของกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ มิฉะนั้นแล้วคุณจะเสี่ยงต่ออาการ over training ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย และให้แน่ใจว่าคุณรวมเอาการออกกำลังกายประเภทแอโรบิคและการยกน้ำหนักรวมอยู่ในโปรแกรมการออกกำลังกายของคุณ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ

ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก EzineArticles เช่นเคย

Monday, February 11, 2008

คุณคิดว่า...การออกกำลังกายช่วยขจัดเซลลูไลท์ได้หรือไม่???

อ่านบทความนี้ ก็ทำให้คิดถึงเพื่อนเจี๊ยบอีกแล้ว เธอประมาณว่า..เป็นกังวลกับเซลลูไลท์ตัวเล็กตัวน้อยของเธอเสียเหลือเกิน ส่วนเราก็ได้ช่างมัน จะมีหรือไม่มี ไม่สนใจ ฉันไม่แคร์ อะไรทำนองนั้น

ก็จัดการแปลให้เพื่อนแล้วนะ ลองอ่านดู อย่าไปซีเรียสอะไรมันมากเลยนะ <<แปลจากเว๊ปโปรดเช่นเคย...>>

มีมากมายหลากหลายวิธีในการกำจัดเซลล์ลูไลท์ แต่น่าเสียดายที่วิธีเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นวิธีทางการแพทย์ด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว โดยให้สัญญากับลูกค้าในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และทำให้ลูกค้าผิดหวังไปตาม ๆ กัน ผลที่ได้ ออกมาในรูปของแผลเป็น หนี้สิน และกำจัดเซลลูไลท์ออกไปได้เพียงบางส่วนเท่านั้น หนึ่งในบรรดาวิธีที่ได้ผลอย่างมาก ก็คือการใช้การออกกำลังกายกำจัดเซลลูไลท์นั่นเอง

ใช่แล้ว เป็นไปได้มากทีเดียวที่การออกกำลังกายนั้นสามารถกำจัดเซลลูไลท์ออกไปได้ แต่มิใช่ว่า คุณจะออกกำลังกายเพียงสัปดาห์เดียว ด้วยความพยายามน้อยนิด แล้วมันจะออกไปจากชีวิตคุณได้ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เดือนแล้วเดือนเล่า ต่างหากล่ะ

นี่เป็นแง่มุมหนึ่งที่สำคัญในการใช้การออกกำลังกายกำจัดเซลลูไลท์ออกไป มันเลยกลายเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงยอมเลิกง่าย ๆ เพราะเหตุที่ไม่เห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ พวกเขาก็เชื่อแล้วว่ามันไม่สัมฤทธิผล ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถผลได้ด้วยตาเปล่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ

เมื่อคุณออกกำลังกายเพื่อกำจัดเซลลูไลท์ มันจะทำให้อะไรเกิดขึ้นล่ะ นั่นก็คือการไหลเวียนโลหิตในร่างกายจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสองประการของการสะสมและกำจัดเซลลูไลท์ การออกกำลังกายในสเตปแรกนั้นก็เพื่อหยุดยั้งการเจริญเติบโต และการแพร่กระจายของเซลลูไลท์ นั่นเอง

สเตปที่สองเกิดขึ้นเมื่อคุณออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างต่อเนื่อง ผลที่ได้ก็คือเจ้าเซลลูไลท์จะหายไปจากถิ่นที่อยู่ของมัน เพราะเมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไม่ได้ใช้งานหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ มันก็จะไปปักหลักอยู่บริเวณนั้นได้อย่างมีความสุข แต่เมื่อร่างกายถูกใช้งานมากขึ้น ระดับการสูบฉีดและการไหลเวียนโลหิตมากขึ้น มันก็จะไม่มีทางเลือก จำใจต้องหยุดยั้งตัวเอง และอพยพออกไป ผ่านทางลำไส้และตับ

"เอ้า! แล้วใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงสเตปสองล่ะ” ทั้งหมดทั้งมวลมันก็ขึ้นอยู่กับคุณคนเดียวนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยการกินของคุณ ความกระตือรือร้นในการออกกำลังกายเพื่อกำจัดเจ้าเซลลูไลท์ออกจากชีวิตของคุณ อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่คุณออกกำลังกาย คุณก็น่าจะเห็นผลได้ภายในไม่กี่เดือนล่ะนะ

Friday, February 1, 2008

ม่ะ..มาหาเพื่อนฝึกออกกำลังกายกันเถอะ...

บทความนี้ อ่านครั้งแรกแล้วก็โดน ทำให้นึกถึงตัวผู้แปลเอง

เนื่องจากว่าเมื่ออดีตกาลก่อนหน้าที่จะเปลี่ยนสถานที่เล่นฟิตเนสนั้น ก็จะประมาณว่า ทุกวันศุกร์เรากับเพื่อนคู่หู นามว่า "เจี๊ยบ" มักจะมาออกกำลังกายด้วยกันอยู่เสมอ

แต่พอเราเปลี่ยนสถานที่เล่นฟิตเนส เพราะว่ามันใกล้ที่ทำงานกว่า ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ก็เลยทำให้ต้องฝึกคนเดียว มันก็เลยทำให้คิดถึงเพื่อนคนนี้อยู่เหมือนกัน เพราะเวลามีเพื่อนฝึกด้วย มันจะเวิร์คกว่าเยอะ จะคอยนึก คอยหาท่าทางการบริหารกันอยู่เสมอ ๆ ผลัดกันดูว่าที่พวกเราฝึกกันอยู่น่ะ ถูกมั้ย ใช้ได้หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ หรือสงสัยอะไร ก็จะพากันถามเทรนเนอร์ ซึ่งมันดูมีประโยชน์มาก

ก็ทำให้คิดถึงน่ะนะ ก็เลยลองแปลมาให้อ่านกัน...

การมีเพื่อนฝึกออกกำลังกายนั้น นับว่าเป็นสิ่งดี การที่คนสองคนมีความต้องการเดียวกัน เข้าใจกัน และคิดเหมือนกันนั้น ที่สุดมันก็จะพัฒนาจนกลายเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายกันในที่สุด

นอกจากนี้คุณยังช่วยเหลือ ให้กำลังใจกันและกัน จากความเป็นจริงที่ว่า เราต่างประสบกับปัญหาที่ว่าความสามารถในการออกกำลังกายของเรานั้นจำกัด เต็มที่ก็ทำได้เพียงเท่านี้ (ตามที่คุณคิด) แต่เพื่อนของคุณ สามารถช่วยให้คุณพัฒนาการฝึกต่อไปได้อีก

พูดอีกอย่างก็คือสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว คุณสามารถช่วยเหลือกันในสิ่งที่ต่างคนต่างขาดทักษะ มันเหมือนกับว่าคุณมีมันสมองที่สองที่ช่วยสะกิดต่อมความรู้ของคุณให้เพิ่มพูนได้มากขึ้นไปอีก

การมีเพื่อนออกกำลังกาย ถือเป็นกำไรอย่างหนึ่ง เมื่อคนใดคนหนึ่งรู้สึกท้อและอยากเลิก คุณสามารถให้กำลังใจกันและกันได้ กำลังใจที่คุณได้รับจากเพื่อนช่วยแก้ปัญหาของคุณได้ในระดับหนึ่ง

ข้อดีอีกข้อก็คือ เพื่อนของคุณช่วยเตือนความจำถึงความต้องการในการออกกำลังกายของคุณ มันเหมือนกับเสียงเล็ก ๆ ในหูที่คอยกระตุ้นเตือนถึงสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่เสมอ

เฮ้อ...แปลแล้ว อ่านแล้ว ก็คิดถึงเพื่อนชะมัด อ้อ...ขอเพิ่มอีกสักหน่อยว่า บทความนี้แปลมาจาก ezinearticles.com เช่นเคยนะจ๊ะ