Friday, February 29, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนห้า - ลานช้าง ลานพระเจ้าขี้เรื้อน)

ลานช้าง (ELEPHANT TERRACE) (หรืออีกชื่อเรียกว่าลานดัมเร็ย)

สร้างในต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีการบูรณะเพิ่มเติมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 เป็นศิลปะแบบบายน

ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองพระนครหลวง หันหน้าเข้าสู่ลานกว้างเรียกว่าสนามหลวง ผนังฐานพลับพลาสร้างด้วยหินสลักเป็นรูปช้างและครุฑพ่าห์

พื้นพลับพลาเป็นหินตั้งอยู่ด้านหน้าประตูพระราชวังมีมุขยื่นออกมาทั้งสองด้าน คือมุขช้างเอราวัณและมุขรูปครุฑพ่าห์มีบันไดขึ้นลงได้ 5 ทาง บันไดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นทางพระราชดำเนินที่จะใช้ลงไปยังสนามหลวงของพระมหากษัตริย์เท่านั้น

จุดประสงค์ของการสร้างลานช้าง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์นั่งทอดพระเนตรการสวนสนาม การซ้อมรบ และการเฉลิมฉลองต่างๆ ตลอดจนการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ

ลานพระเจ้าขี้เรื้อน สร้างในพุทธศตวรรษที่ 18 – 19 ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
โดยที่ไม่ทราบชื่อ จึงถูกขนานนามขึ้นใหม่ เชื่อกันว่าเป็นศาลตัดสินโทษ และมีการบูรณะเพิ่มเติมสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 เป็นศิลปะแบบบายน

ชื่ื่อลานพระเจ้าขี้เรื้อนว่ากันว่าเกิดจากลานแห่งนี้เคยมีประติมากรรมลอยตัวรูปคนชันเข่าที่มีไลเคน และเชื้อราจับรูปจนเป็นด่างเป็นดวงไปเต็มหมด ซึ่งสอดคล้องกับตำนานที่กล่าวถึงกษัตริย์องค์หนึ่งได้หลับนอนกับนางนาค แล้วฆ่านางนาคตาย แล้วเลือดของนาคกระเซ็นถูกพระวรกายทำให้เป็นโรคขี้เรื้อน
ลานนี้ มีภาพสลักนูนสูงที่ระเบียง เป็นภาพพญายมมีนางนาคอยู่ทั้งสองข้าง กล่าวถึงเมืองบาดาล อันเป็นที่พักอาศัยของนาค

ที่มุมระเบียงมีภาพสลักนูนสูงของนาค 9 เศียร และ 5 เศียรอยู่ข้างบน ภาพพญายมจะถือพระขรรค์นั่งในท่าขัดสมาธิและชันเข่าถ้าเป็นสตรีมักจะมีศิราภรณ์ (คล้ายๆมงกุฏ) สวมใส่บนศีรษะ นั่งในท่าพับเพียบหรือชันเข่า มือประนมถือดอกบัว
มีบางรูปที่แขว่งพระขรรค์แขนตั้งวงโค้งวางมืออยู่บนศีรษะอย่างสวยงาม ภาพสลักนูนสูงแถวที่สอง เป็นรูปยักษ์และรูปครุฑ ซึ่งมีทั้งรูปจริงและรูปจำแลง ภาพสลักแถวที่สามเป็นรูปเทวดา

No comments: