Tuesday, June 23, 2009

การออกกำลังกายเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

สืบเนื่องจากหัวข้อบทความ อ่านแล้วน่าสนใจว่า ทำไมออกกำลังกายแล้วยังเป็นโทษอีก ก็เลยอ่าน มันน่าสนใจดี ก็เลยแปลออกมาให้ผู้อ่าน 5-6 คนได้อ่านกัน บอกไว้ก่อนว่า NaaToy ไม่มีความรู้เรื่องราวเหล่านี้มากนัก แต่ก็พยายามค้นหาข้อมูลมาเพื่อให้ตัวเองเข้าใจ และคิดว่าผู้อ่านอีก 5-6 คน ก็น่าจะพอเข้าใจได้ ขอให้ลองอ่านกันดู

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพส่วนใหญ่บอกไว้ว่าการออกกำลังกายนั้นสำคัญกับสุขภาพ แล้ว…มันจะส่งผลร้ายอย่างไรกันล่ะ จงอ่านต่อไปคุณจะพบว่าทำไม

การออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหาร และประโยชน์หลัก ๆ ก็คือการไหลเวียนของโลหิต และระบบการหายใจ คุณสามารถสังเกตข้อดีเหล่านี้ได้ง่าย ๆ เมื่อเปรียบเทียบคนที่แอคทีฟอยู่เสมอกับคนที่นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน

แต่…การออกกำลังกายก็ก่ออันตรายได้เหมือนกัน เนื่องจากการออกกำลังกายนั้น ทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนมากขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ขณะที่เซลทำปฏิกิริยากับออกซิเจนมากเกินไป จึงเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเสมือนของเสียในร่างกาย

แม้ว่าอนุมูลอิสระนั้นยากที่จะวัดได้โดยตรง แต่ก็เป็นที่รู้ทั่วไปว่า เป็นสิ่งนำมาซึ่งเชื้อโรคและความชรา รวมทั้งมะเร็งซึ่งกระทบต่อดีเอ็นเอ เยื่อหุ้มเซล และส่วนสำคัญอื่น ๆ ในร่างกาย

ข่าวดีก็คือจากการศึกษาพบว่าร่างกายคนเราปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเมื่อเราออกกำลังกาย ทำให้กลไกในการกำจัดอนุมูลอิสระดีขึ้น คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำและกินอาหารถูกหลักโภชนาการเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระนั้น อาจจะได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายมากกว่าอันตรายที่เกิดจากการเพิ่มอนุมูลอิสระ

ข่าวร้ายก็คือการศึกษาที่กล่าวข้างต้นนี้พบว่าการออกกำลังกายเป็นครั้งคราว เช่น การออกกำลังกายเต็มที่ในช่วงสุดสัปดาห์ ส่งผลอันตรายด้วยการเพิ่มอนุมูลอิสระและทำลายเนื้อเยื่อ โดยไม่ได้ทำให้กลไกของร่างกายในการลดอนุมูลอิสระดีขึ้น นี่เป็นหนึ่งในบรรดาเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นความคิดที่ดี ที่เราค่อย ๆ เพิ่มความหนักในโปรแกรมการออกกำลังกาย แต่มันยังหมายถึงว่าคุณควรออกกำลังกายเสมออีกด้วย

*** ข้อมูลเพิ่มเติม *** อนุมูลอิสระเป็นสารไม่คงตัว มีพลังงานสูง เป็นผลให้เกิดการทำงานของเซลล์ผิดปกติ ร่างกายจึงเกิดโรคและพยาธิสภาพต่างๆ เช่น ผนังหลอดเลือดแข็งตัว ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รุนแรงขึ้น ทำให้เกิดความชราและความเสื่อมของเซลล์ นอกจากนี้ สารอนุมูลอิสระยังสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้กลายไปเป็นเซลล์มะเร็ง

⇒ แหล่งที่มาของอนุมูลอิสระสามารถแบ่งได้อย่างง่ายๆ คือ
1. อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองภายในร่างกาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการ เผาผลาญของร่างกาย การออกกำลังกายอย่างหักโหม ความเครียด
2. อนุมูลอิสระจากภายนอกร่างกาย เช่น
(1) การติด เชื้อทั้งแบคทีเรียและไวรัส
(2) การอักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุของกลุ่มโรคภูมิต้านทานตัวเอง (autoimmune diseases) เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี รังสีอัลตราไวโอเลต จากแสงแดดกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระบริเวณผิวหนัง

Wednesday, June 17, 2009

วิ่งหรือเดิน-อะไรจะดีกว่ากัน???

ว่ากันว่าการวิ่งนั้นดีกว่าการเดิน แต่…ความจริงก็คือการวิ่งไม่ได้ให้ผลอะไรมากมายไปกว่าการเดิน เช่น ถ้าคุณวิ่งหนึ่งไมล์ด้วยเวลา 6 นาที วันต่อมาคุณเปลี่ยนเป็นเดินเร็วระยะทางหนึ่งไมล์ใช้เวลา 13 นาที ปริมาณแคลอรี่ที่ถูกเบิร์นนั้นก็เท่ากัน แตกต่างกันเพียงเวลาในการวิ่งที่เร็วกว่าการเดิน นอกจากนี้การวิ่ง อาจทำให้เข่าของคุณเจ็บจากการกระแทกมากกว่าการเดิน

เพื่อหาว่าสิ่งใดที่ดีสำหรับคุณ ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับสุขภาพของคุณ ถ้าคุณสุขภาพดีและไม่มีปัญหากับการวิ่ง การวิ่งมันก็ดีสำหรับคุณ ใช้เวลาน้อย แถมคุณยังมีเวลาอีกเหลือเฟือในการออกกำลังกายอื่น ๆ แต่…ถ้าคุณไม่แข็งแรงและเข่าไม่ดี การเดินเร็วนั้นดีกว่าแน่นอน การวิ่งหรือเดินเร็วสักหนึ่งไมล์อาจเป็นอันตรายสำหรับคนที่หัวใจไม่ดีได้

นักกีฬาอาจรู้สึกว่าการวิ่งนั้นดีกว่า เพราะการเพิ่มของระดับ adrenaline และความที่เหงื่อแตกท่วมตัว รวมทั้งหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ความคิดเห็นอื่น ๆ ว่า การเดินเร็วนั้นดีกว่าเพราะหัวใจนั้นเต้นเร็วด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า ถ้าการวิ่งหนึ่งไมล์ใช้เวลา 6 นาที และการเดินเร็วใช้เวลา 13 นาที ต่างกัน 7 นาทีในการเต้นเร็วของหัวใจ การที่หัวใจเต้นเร็วนั้นทำให้ปริมาณแคลอรี่ที่ถูกเบิร์นนั้นมากขึ้น นี่เป็นความจริง แต่….มีนักวิทยาศาสตร์อีกมากที่พยายามพิสูจน์ว่าเดินหรือวิ่งนั้น สิ่งใดดีกว่า ความจริงก็คือการที่คุณออกกำลังกายใด ๆ ก็ตามมันก็ดีต่อสุขภาพนั่นแหละ มันไม่มีข้อจำกัดใด ๆ นอกเสียจากแพทย์สั่ง ขอให้คุณจงมีความสุขกับการวิ่งและการเดิน

ส่วนตัว NaaToy แล้ว รู้สึกว่าการวิ่งทำให้เนื้อตัวกระชับขึ้น แต่มันก็ส่งผลกับเข่าเหมือนกัน แต่พอรู้สึกปวดเข่า ก็จะเปลี่ยนเป็นเดิน หรือไม่ก็ปั่นจักรยานแทน อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลล่ะนะ

แปลและเรียบเรียงเรื่องราวจาก ezinearticle เช่นเคย

Friday, June 12, 2009

สัญญาณเตือน 9 ประการของการ Overtraining

Connie นักกีฬาสาว อายุเกือบสามสิบ เธอกังวลใจว่าเธอออกกำลังกายในยิมมากไปหรือไม่ เธอจึงปรึกษากับฝรั่งผู้เขียน ซึ่งเป็นหมอฝังเข็ม เธอว่าเธอออกกำลังกายทุกวัน ทั้ง cardio และ weight training แต่ทำไมเธอจึงป่วยบ่อย นอนไม่ค่อยหลับ และเหนื่อยจนเป็นนิสัย หลังจากเสวนาปราศรัยแล้ว Connie คิดว่าอาจจะเป็นเพราะเธอออกกำลังกายมากเกินไป เธอจึงตกลงใจว่าจะหยุดออกกำลังกายหนัก ๆ ไปเล่นเบา ๆ แทน เช่น การเดินในสวนสาธารณะแถวบ้าน

ฝรั่งผู้เขียนบอกว่า เขาเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นน้ำพุแห่งความเยาว์วัย และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สุขภาพดีขึ้น เราทุกคนเข้าใจกันว่าออกกำลังกายบ้างนั้นดีต่อสุขภาพ แล้วก็เลยทำให้พาลเข้าใจกันว่า ยิ่งเล่นมาก ๆ มันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ซินแสชาวจีนกล่าวไว้ว่า การเดินสายกลางเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งสุขภาพและอายุที่ยืนยาว

การออกกำลังกาย บางครั้งมันยากที่จะบอกได้ว่าคุณฝึกมากเกินไปหรือเปล่า ฝรั่งผู้เขียนบอกว่า เขามีเพื่อนที่ออกกำลังกายเป็นประจำด้วยการวิ่งหรือปั่นจักรยานระยะไกล แต่กลับเป็นหวัดบ่อยครั้ง การที่ภูมิคุ้มกันลดลงนั้นก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่เตือนว่า คุณใช้เวลาในยิม ถนน หรือที่สระน้ำมากเกินไปแล้ว สัญญาณอื่น ๆ ของ overtraining ได้แก่

– เกิดอาการบาดเจ็บบ่อย หรืออาการบาดเจ็บนั้นดูเหมือนรักษาไม่ได้
– ขาดความกระตือรือร้น อีกทั้งเกิดการเบื่อหน่ายในการออกกำลังกาย ขาดแรงจูงใจหรือหมดความสนุกสนานในกิจกรรมของคุณ
– เหนื่อยล้า หมดพลัง
– นอนไม่หลับ นอนไม่พอ
– ปวดกล้ามเนื้อ
– ประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ลดลง
– ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย เกิดอาการหดหู่ในหัวใจ
– เบื่ออาหาร

การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสุขภาพที่ดี แต่จงจำไว้ว่าทุกสิ่งมีสมดุลย์ การเคลื่อนไหวของหยางต้องสมดุลย์กับหยิน

แปลและเรียบเรียงจาก ezinearticle

Wednesday, June 3, 2009

ออกกำลังกายขณะป่วย ทำให้ป่วยมากขึ้นหรือหายเร็วขึ้นกันแน่???

เมื่อเราตื่นมาในวันใหม่ด้วยอาการคันคอ มันเตือนให้เรารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียแล้ว คำถามก็คือ เราควรไปยิมหรือไม่ จงฟังร่างกาย ประเมินอาการ เข้าใจระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งหมดทั้งมวลทำให้คุณสามารถคาดการณ์และวางแผนการออกกำลังกายได้อย่างถูกต้อง

ถ้าคุณแค่ปวดหัว การออกกำลังกายเบา ๆ ถึงปานกลางสามารถทำให้ปลอดโปร่งขึ้นได้ endorphins นิด ๆ สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่กำลังแย่ ยิ้มออกมาได้ แต่จำไว้ว่า อย่าฝึกหนักเกินไป ถ้าคุณได้ยินระบบภูมิคุ้มกันกำลังร้องไห้ ก็ค่อย ๆ ลดการฝึกลง หรือหยุดซะ

ถ้าอาการหนักมากขึ้น จงหลีกเลี่ยงกิจกรรมแอโรบิคทั้งหมดเสีย และถ้ามีไข้ แน่นหน้าอก หายใจสั้น คลื่นไส้ ขยับร่างกายได้เพียงแค่เดินจากห้องนอนถึงโซฟาเท่านั้น ถ้าคุณเลือกออกกำลังกายในสภาพอันตรายนี้ อุณหภูมิในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้นและอัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มขึ้น แนะนำว่า…อยู่เฉย ๆ ดีกว่า

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องจำไว้ก็คือ ยิมนั้นเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุด ก็สมควรป่วยแหละนะ คิดถึงเรื่องการออกกำลังกายที่บ้านหรือไม่ก็กิจกรรมนอกบ้าน เช่น การเดินเล่น (เมื่อสภาพอากาศอำนวย) บ้าง

อาการเจ็บป่วยเป็นวิธีที่ร่างกายบอกว่ามันต้องการพักร้อนจากชีวิตประจำวัน ถ้าคุณไม่สบายเกินกว่าจะทำงาน คุณก็ไม่สบายเกินกว่าจะออกกำลังกายเช่นกัน อย่ารู้สึกผิดที่โดดการออกกำลังกาย ถ้าคุณปฏิบัติตามวิถีทางเพื่อการฟื้นตัวแล้ว คุณจะกลับไปยิมและกลับไปยังโปรแกรมการออกกำลังกายของคุณได้เร็วขึ้นเท่านั้น


ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ จาก ezinearticle จ้ะ