Tuesday, February 26, 2008

ANGKOR TRIP (ตอนแรก)

20 กพ. 2551
พวกเราสาวไทยใจกล้าทั้งเก้า ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งกะเช้ามืด เพราะตั้งใจจะให้ถึงด่านเช้าหน่อย จะได้ไม่เจอคนเยอะแยะแน่นขนัด


เมื่อผ่านขั้นตอนต่าง ๆ จนเข้ามาถึงด่านปอยเปตแล้ว และจากการที่หัวหน้าไกด์ได้ศึกษาการเดินทางท่องเที่ยวมาแล้ว ก็ใช้วิธีเช่ารถแท็กซี่ Toyota Camry ซึ่งถ้าอยู่เมืองไทย ก็คงไม่มีปัญญาที่จะขึ้นรถพรรณนี้ได้เป็นแน่

จากนั้นก็เดินทางสู่เสียมเรียบ รถแท็กซี่แล่นเร็วปานพายุ (เหยียบประมาณ 80 กม./ชม.) มีทั้งพายุแดง หมอกฝุ่นขาว สลับกันไป ฝุ่นตลบอบอวลกันไปตลอดทาง คือขับประมาณว่า ฉันไม่สนใจว่ารถมันจะเป็นอย่างไร ก็แล่นตู้ม ตู้ม กันไป แบบว่า...ใช้รถโคตรคุ้มน่ะ นอกจากนี้แล้ว ถนนก็ยังเป็นหลุม เป็นบ่อ เป็นเนินหลังเต่าบ้าง ซึ่งคาดว่าจะทำให้รถช้าลง แต่…มันมิได้ช้าลงไปสักนิดเลย มีแต่จะทำให้คนที่นั่งในรถหัวโขกกับหลังคารถ แต่…ก็ดีมันทำให้ประสาททุกคนตื่นตัวกันดี

แต่มิใช่ว่าจะไม่มีถนนดี ๆ บ้างเลย มีถนนดีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน ก็คงสักกิโลสองกิโลล่ะมั้ง ช่วงนั้น จะรู้สึกว่า โอ้ว…การเดินทางครั้งนี้ มันยังมีดีบ้างนะ คือ นิดนึงก็ยังดี ให้พอหายใจได้ทั่วท้องน่ะ แต่เนื่องจากถนนเรียบไง คุณโชเฟอร์ก็เลยเร่งความเร็วถึง 120 แน่ะ อุแม่จ้าว…

และด้วยฝุ่นขาว ฝุ่นแดง นี่แหละ จะสังเกตเห็นว่า ต้นไม้ข้างทาง ใบไม่สีเขียวสดใส เหมือนที่อื่น ๆ ทั่วไป ถ้าถนนแดง ใบไม้ก็จะสีออกแดง ๆ ส้ม ๆ กันไป หลังคาบ้านข้างทางก็จะออกแนว ๆ ส้ม ๆ แดง ๆ ไม่รู้ว่าเป็นสนิม หรือเพราะฝุ่นกันแน่

ก็จะมีแวะข้างทาง เติมแกส ถ้าเข้าใจไม่ผิด ก็คือแกสหุงต้มเราดี ๆ น่ะแหละ เค้าจะคว่ำหัวแกสลง แล้วอัดแกสเข้าถังในรถแท็กซี่ ที่นี่ก็มีป้ายห้ามสูบบุหรี่นะ ไม่ใช่ไม่มี แต่...ปรากฎว่ามีรถคันหนึ่งมาจอดเติมแกส พระรูปหนึ่งก้าวลงมาจากรถ พร้อมมวนบุหรี่ ซึ่งกำลังสูบอยู่ เดินมาใกล้ ๆ กับรถพวกเรา พวกเราทำอะไรไม่ได้ นอกจาก...พากันเสียวสันหลังไปตาม ๆ กัน

ไปได้สักพัก ก็มีการแวะล้างรถกันไป ซึ่งไม่เข้าใจว่าจะล้างกันทำไม เพราะเดี๋ยวก็ต้องวิ่งฝ่าพายุฝุ่นแดง ขาว กันอีก แล้วจะล้างให้มันได้อะไรขึ้นมา ไม่เข้าใจ

นอกจากวิ่งมันจะขับแบบไม่เกรงใจรถแล้ว มันยังจะรีบไปไหนไม่รู้ คือ ถ้าเลนตรงข้ามไม่มีรถ ฉันก็จะต้องแซงให้ได้น่ะ แล้วจะกดแตร ประมาณความหมายว่า เฮ้ย…ขอแซงนะโว้ย แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ จักรยาน หรือคน ก็จะกดแตรเหมือนกัน ประมาณว่า หลบข้างทางไปเลย อย่าเข้ามาเบียด เดี๋ยวเจอดี จะหาว่าไม่เตือนนะเฟ้ย แต่ถ้าเป็นรถบรรทุก ก็จะกดแตร ความหมายประมาณว่า พี่…ขอผมแซงหน่อยนะพี่นะ อย่าง...เจียมเนื้อเจียมตัว


รถมันวิ่งเร็วซะขนาดนั้น แต่ก็ยังทำให้เราเคลิ้ม ๆ กันไปบ้าง มีอยู่ช่วงหนึ่ง รถคันเราเกิดพากันหลับหมด (ยกเว้นคนขับ มิสามารถหลับได้ มิฉะนั้นจะพากันขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้ากันไปหมดเป็นแน่) ก็เกิดเสียงดังตู้ม…ไอ้เราซึ่งนั่งเบาะหน้าติดกับคนขับ ก็สะดุ้งตื่น มองไปด้านหน้า เป็นหมอกขาวเต็มไปหมด ซึ่งพอคุ้นแล้วว่า มันเป็นโคตรฝุ่นน่ะ ถ้าไม่รู้มาก่อน ก็คงนึกว่าอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์แล้วเป็นแน่

พอสติฟื้นกลับมาก็นึกแค่ว่า รถมันคงเบรคกระทันหันน่ะ แต่ที่ไหนได้ ปรากฎว่ารถเราไปชนกับรถคันหน้า ซึ่งเป็นรถพวกเดียวกันนั่นแหละ เพราะคันหน้าเบรคกระทันหัน ไอ้รถคันเราขับมาแรงเต็มเหนี่ยว เบรคไม่ทันก็เลยชนโครมเข้าให้ หน้ายู่กันไปทีเดียว แถมประตูด้านหน้าฝั่งเราก็เปิดไม่ได้อีกต่างหาก

พอถึงโรงแรม ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราก็พากันไปที่โตนเลสาป ซึ่งว่ากันว่าเป็น ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันก็จะประมาณปากน้ำบ้านเรานั่นแหละ คือแล่นเรือออกไปสักพัก แล้วก็จะเจอทะเลใหญ่ อะไรประมาณนั้น แต่น้ำที่นี่จะเป็นประมาณสีโคลน หรือสีน้ำชาเย็น ดูแล้วทำให้นึกกระหายชาเย็นเป็นกำลัง เข้าใจว่า ดินที่นี่เป็นดินที่ออกสีแดง ๆ (สังเกตจากบริเวณฝั่ง) มันก็เลยทำให้สีน้ำเป็นลักษณะนั้น

บ้านเรือนทั้งสองฝั่ง และแม้แต่บนผืนน้ำเองก็ตาม จะเป็นพวกเวียดนามมาอยู่อาศัยกัน ซึ่งจะมีแพเต็มไปหมด ขนาดว่าพอออกไปทะเลสาปแล้ว ก็ยังมีแพเหมือนกัน มีทั้งแพขายน้ำมัน แพขายของ และแม้แต่แพโรงเรียน ดู ๆ แล้วก็เท่ดี เพราะนักเรียนคงจะโดดเรียนกันยาก เพราะถ้าโดดก็คงต้องโดดลงน้ำ คงจะมีเสียงดังตูม ตัวเปียกกันไป

ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวนั่งเรือชมทะเลสาปกันมากมาย ทั้งฝรั่ง ทั้งเอเชีย บางคนถึงกับกิ๊วก๊าวพวกฝรั่ง แบบว่า...หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว อะไรทำนองนี้

กลับโรงแรมแล้ว เย็น ๆ ไปกินบุปเฟ่ต์ พลางดู Apsara Dancing กันไป ก็เหมือนการฟ้อนรำ ระบำพื้นบ้าน โขน แบบบ้านเรานั่นแหละ แต่ถ้าเปรียบเทียบแล้ว บ้านเราดูดีกว่าเยอะ ดูมีรายละเอียดมากกว่า รู้สึกภูมิใจในความเป็นไทยขึ้นมาทันที

ทะเลสาปสีชาเย็น
-เด็กน้อยกำลังร้องขายกล้วย หนึ่งดอลล่าห์ -

No comments: