พวกเราก็พากันข้ามสะพานลอยไปอีกฟากถนน เรียกแท็กซี่ ปรากฎว่าแท็กซี่มันพากันส่ายหน้า ไม่ไป หรือไม่รู้จัก ก็ไม่รู้ เอาล่ะซิ มันไม่หมูเสียแล้ว ก็เลยพากันไปถามที่โรงแรมใกล้ ๆ คิดว่าน่าจะรู้ ปรากฎพนักงานในนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามคนแถวนั้นหลายคนก็ไม่รู้ จนมาถึงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่คงพากันมาพักผ่อนหลังจากกินข้าวเสร็จ เป็นที่พึ่งที่ดีอย่างมากมาย พี่เค้ายื่นกระดาษใบที่มีที่อยู่ของร้านอาหารให้ดู พอเห็นว่าเค้ารู้จัก พวกเราก็ใจชื้นขึ้นเยอะ แกพยายามบอกทางเป็นภาษาใบ้ ซึ่งพวกเราก็ไม่เข้าใจ พอดีเราพกปากกา กระดาษ ติดตัวอยู่แล้ว ก็เลยให้เขาเขียนแผนที่ให้ แถมยังเขียนบอกไว้ว่าร้านอาหารห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร พวกเราก็สุดแสนดีใจ ใกล้ ๆ นี่หว่า ก็เซี่ยะเซี่ยะกันไป
Monday, October 26, 2009
China Trip (ตอน 11)
พวกเราก็พากันข้ามสะพานลอยไปอีกฟากถนน เรียกแท็กซี่ ปรากฎว่าแท็กซี่มันพากันส่ายหน้า ไม่ไป หรือไม่รู้จัก ก็ไม่รู้ เอาล่ะซิ มันไม่หมูเสียแล้ว ก็เลยพากันไปถามที่โรงแรมใกล้ ๆ คิดว่าน่าจะรู้ ปรากฎพนักงานในนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ถามคนแถวนั้นหลายคนก็ไม่รู้ จนมาถึงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่คงพากันมาพักผ่อนหลังจากกินข้าวเสร็จ เป็นที่พึ่งที่ดีอย่างมากมาย พี่เค้ายื่นกระดาษใบที่มีที่อยู่ของร้านอาหารให้ดู พอเห็นว่าเค้ารู้จัก พวกเราก็ใจชื้นขึ้นเยอะ แกพยายามบอกทางเป็นภาษาใบ้ ซึ่งพวกเราก็ไม่เข้าใจ พอดีเราพกปากกา กระดาษ ติดตัวอยู่แล้ว ก็เลยให้เขาเขียนแผนที่ให้ แถมยังเขียนบอกไว้ว่าร้านอาหารห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร พวกเราก็สุดแสนดีใจ ใกล้ ๆ นี่หว่า ก็เซี่ยะเซี่ยะกันไป
China Trip (ตอน 10)
China Trip (ตอน 9)
23 ตค. 52 วันนี้ได้ตะลอนไปที่ศูนย์วิจัยหมีแพนด้า ไปดูหมีแพนด้า กับ Red Panda สถานที่เค้าใหญ่โตดี อากาศเย็นสบายดี หมีก็เยอะดี มีทั้งตัวใหญ่ ตัวน้อย น่ารักดี
จากนั้นเราก็ไปศาลเจ้าสามก๊ก ต่อไปเป็นรายละเอียดของศาลเจ้าแห่งนี้ คัดลอกจากวิกิพีเดียค่ะ
ศาลเจ้าสามก๊ก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่วัดอู่โหวซื่อ ที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน สร้างขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์จิ้นตะวันตก ด้านหลังของวัดเป็นที่ตั้งสุสานของพระเจ้าเล่าปี่และจูกัดเหลียง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงในสามก๊ก ซึ่งเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีน เรื่องราวต่าง ๆ ในสามก๊กเริ่มต้นในปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของพระเจ้าเหี้ยนเต้ เนื่องจากในขณะนั้นเล่าปี่ปกครองและแต่งตั้งเสฉวนเป็นราชธานี โดยมีจูกัดเหลียงเป็นที่ปรึกษา ราษฏรใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่เมื่อเล่าปี่สวรรคตแล้ว ประชาชนต่างให้การยอมรับและนับถือจูกัดเหลียงมากกว่า จึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าขึ้นมาเพื่อเป็นที่เคารพบูชา แต่ไม่นานทางรัฐบาลจีนเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงมีคำสั่งให้สร้างศาลเล่าปี่ขึ้น รวมทั้งให้มีรูปปั้นขุนนาง 14 ท่านภายในศาลเจ้า
ศาลเจ้าสามก๊ก ก่อสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 766 หรือเมื่อประมาณ 1,700 ปีมาแล้ว เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สามก๊กในสมัย พ.ศ. 763 - พ.ศ. 823 สร้างขึ้นโดยพระบัญชาของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฉิงปลายราชวงศ์จิ๋น ในอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 3,700 ตารางเมตร สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในศาลเจ้าสามก๊ก เป็นผลงานการก่อสร้างที่ได้รับการปรับปรุงขึนในปีที่ 11 ของจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงศ์ชิง และได้รับการยกย่องเป็นโบราณสถานแห่งชาติของจีนในปี พ.ศ. 2504 ต่อมาได้สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2527
ภายในศาลมีการแบ่งแยกพื้นที่ออกเป็นหลายส่วน รวมทั้งมีการแยกศาลต่าง ๆ ออกเป็นเฉพาะบุคคลคือศาลเล่าปี่ จักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กและราชวงศ์ฮั่น ศาลเจ้ากวนอูที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของ 5 ทหารเสือฝ่ายบู๊ กวนอูเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์และกตัญญู จนได้รับการยกย่องจากชาวจีนให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์และโชคลาภ ศาลเจ้าจูกัดเหลียงที่มีความโด่งดังในด้านของสติปัญญาและความฉลาดเฉลียว ภายในศาลมีรูปปั้นจูกัดเหลียงขนาดใหญ่มีอายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี ชาวจีนเรียกกันว่า "ทาสอุ้มทรัพย์" ตามความเชื่อต่อ ๆ กันขอชาวจีน ถ้าผู้ใดได้ลูบที่รูปปั้นจูกัดเหลียงแล้วจะมีโชคลาภ จูกัดเหลียงได้ชื่อว่าเป็นกุนซือหรือที่ปรึกษาคนสำคัญของเล่าปี่ที่มีความเฉลียวฉลาด วางแผนการรบและกลศึกต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน ชาวจีนส่วนใหญ่จะนับถือจูกัดเหลียงมากกว่าศาลเจ้าเล่าปี่และศาลเจ้ากวนอู จนมีการเรียกศาลเจ้าสามก๊กเป็นศาลเจ้าจูกัดเหลียงแทน นอกจากศาลเจ้าเล่าปี่ กวนอูและจูกัดเหลียงแล้ว ภายในบริเวณศาลยังมีรูปปั้นประวัติศาสตร์ของบุคคลสำคัญในสมัยราชวงศ์สู่ เรื่องราวต่าง ๆ จากตำนานอันยิ่งใหญ่ของสามก๊กของบุคคลอื่น ๆ อีกเช่น โจโฉ เตียวหุย และอีก 14 เสนาธิการทหารเอก
แต่เดิมสุสานของพระเจ้าเล่าปี่และจูกัดเหลียงไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ได้มีการย้ายศาลจูกัดเหลียงจากเมืองเซ่าเฉิงมาอยู่ในบริเวณใกล้กันในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ ในราวปี พ.ศ. 963 - พ.ศ. 1132 จนถึงยุคราชวงศ์หมิงจึงรวมสุสานและศาลเล่าปี่กับจูกัดเหลียงเข้าด้วยกัน และได้พัฒนาศาลเจ้าดังกล่าวโดยสร้างรูปปั้นขนาดใหญ่ของเล่าปี่ จูกัดเหลียง กวนอู และเตียวหุย เป็นประธานอยู่ในห้องโถงกลาง ด้านข้างมีรูปปั้นตัวละครและขุนศึกต่าง ๆ ในยุคสามก๊กประดับเรียงรายตลอดทางระเบียงเป็นที่สำหรับให้ประชาชนมาเคารพสักการะ ในเวลาต่อมาวัดอู่โหวซื่อก็กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อศาลจูกัดเหลียงหรือศาลเจ้าสามก๊ก และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเฉิงตูในปัจจุบัน
China Trip (ตอน 8)
พอเราข้ามสะพานกลับมาอีก ก็ปวดฉี่อีก ก็เข้าห้องน้ำอีก ก็จ่ายไปอีก 5 เหมาอีก ก็ลั่นล้าเข้าไป ประมาณว่าเมื่อกี้ส้วมนี่มันสะอาดดี แล้วตอนนี้...ไหงมีก้อนเหลือง ๆ เต็มไปหมดล่ะนั่น มันเก็บตังค์ แล้วมันก็ไม่เปิดให้น้ำไหล ล้างของเสียต่าง ๆ นานาออกไป เซ็งว่ะ เอาเปรียบผู้บริโภคชัด ๆ
China Trip (ตอน 7)
แล้วเราก็พากันขึ้นรถอุทยานไปดูของสวย ๆ งาม ๆ กัน แหม...มันช่างงดงามเสียนี่กระไร คือ ทะเลสาบนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่เต็มไปหมด แถมภูเขาก็เต็มไปด้วยใบไม้ผลัดสีอีก งามจริง ๆ แต่...ไม่ได้งามเหมือนกับที่โฆษณาไว้ขนาดนั้น หรือว่าเรามาไม่ตรงวันก็ไม่รู้ แต่ยังไงก็งามน่ะนะ ในระดับหนึ่งน่ะ
China Trip (ตอน 6)
จากนั้นพวกเราก็นั่งรถบัสขึ้นไปกันอีก แล้วก็ขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขาการ์เซียน้ำแข็ง ระหว่างทางนั้นกระเช้าของเราเกิดความโกลาหลอลหม่านเสียเหลือเกิน ด้วยความที่มีตากล้องอยู่มากมาย ต่างพยายามหามุมกล้องอันสวยงาม เนื่องจากทิวทัศน์อันสวยงามวิจิตรบรรจง ตากล้องทั้งหลายแหล่จึงต้องการภาพอันสวยงาม ด้วยการขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไปมุมต่าง ๆ ในกระเช้า ซึ่งใช่ว่าจะกว้างขวางอะไรมากมายนัก ก็สนุกดี ถ้ามีกระเช้าตรงกันข้ามผ่านไป คงตกใจว่าทำไมกระเช้านั่นผู้คนมันถึงอลหม่านขนาดนั้น
ระหว่างทางในกระเช้า วิวทิวทัศน์ก็ว่าสวยงามแล้ว ยิ่งขึ้นไปถึงยอด ถึงจุดชมวิว ยิ่งงามขนาด งามมากมาย สวยกว่าที่เราเห็นในทีวีอย่างมากมาย เกิดมาไม่เคยเห็นทิวทัศน์ที่งามขนาดนี้มาก่อน ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง หมอก แสงแดดอ่อน ๆ เฮ้อ...สุดบรรยาย ต้องมาเห็นเอง แล้วจะรู้ว่ายังมีอะไรอีกมากมายนักในโลกใบนี้
ที่นี่ เราเห็นว่ามีคนรับจ้างหามเกี้ยวให้นักท่องเที่ยวได้ไปยังจุดชมวิวต่าง ๆ เนื่องจากว่าอาจจะเดินไม่ไหว กลัวลื่น อะไรทำนองนี้ ไกด์เล่าให้ฟังว่า ไอ้เจ้าพวกนี้น่ะ จะราดน้ำบนพื้น ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำแข็งบาง ๆ ทำให้ง่ายต่อการลื่นล้ม นักท่องเที่ยวจะได้จ้างพวกมันให้แบกไป ไกด์แนะว่าเดินให้ระวังด้วยแล้วกัน
ที่นี่อุณหภูมิประมาณ 4 องศา สูงกว่าที่วัดหัวจ้าง เล็กน้อย ก็เลยรู้สึกว่าหนาวแบบจิ๊บ ๆ
China Trip (ตอน 5)
ตามโปรแกรมแล้ว ช่วงบ่ายเราได้ไปเที่ยวธารน้ำแข็งกัน แต่ก็...ไม่ได้ขึ้น เนื่องด้วยพวกเราเลทนั่นเอง ก็ไกด์บอกว่าวันนี้สบาย ๆ แล้วก็ไม่ได้เร่งพวกเราอะไรหนักหนา พอมาถึงเชิงเขากลับไม่มีรถขึ้นอุทยาน ต้องรออีกประมาณ 2 ชม. ก็เตร็ดเตร่กันไป ถ่ายรูปกันไป
หลังจากขึ้นเขาได้สำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว อากาศบนที่พักหนาวโคตร ๆ แถมฝนยังตกพรำ ๆ กันอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมฟ้าดินถึงกลั่นแกล้งคนเมืองร้อนอย่างเรากันด้วย ก็เลยต้องแต่งตัวได้หนาปั่กกันทั่วทุกคน
ที่นอนคืนนี้มีผ้าห่มไฟฟ้าให้ใช้กันด้วย ไอ้เราก็นึกว่า มันเป็นผ้าห่มที่เสียบปลั๊กไฟ เห็นภาพเป็นงั้น แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นแผ่นบาง ๆ วางอยู่กลาง ๆ ที่นอนซึ่งมีผ้าปูทับอีกที เสี่ยบปลั๊ก ไอ้เจ้าแผ่นนี้ก็จะอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
ตื่นมากลางดึก จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าอากาศมันร้อนระห่ำได้ใจอย่างมากมาย ตอนแรกนึกว่าอากาศมันแปรปรวน มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ หรือว่าเราอาจจะคิดไปเอง นอนยังไงก็ไม่หลับสักทีเพราะมันร้อนจนตับแทบแตก ก็เลยลุกไปเข้าห้องน้ำ สักพักจึงได้รู้สึกว่าอากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ถึงได้เข้าใจว่าไอ้เจ้าผ้าห่มนี่ มันทำให้อุ่นจนร้อนขึ้นนั่นเอง ร้อนจริง ๆ นะ ร้อนมากมาย
คืนนี้...คิดว่าทุกคนในกลุ่มทัวร์คงจะไม่ได้อาบน้ำกันเป็นแน่ เพราะโคตรหนาวเสียขนาดนั้น
China Trip (ตอน 4)
ถึงวัดเป้ากั่ว ส่วนตัวเป็นวัดที่ชอบมาก เพราะมันดูเก่า ดูขลังดี เหมือนกับที่เราได้ดูได้เห็นในหนังจีนกำลังภายใน งามจริง ๆ ชอบมากมาย
China Trip (ตอน 3)
จากโปรแกรมการเดินทางบอกไว้ว่า เอ๋อเหมย แปลว่า คิ้วโก่ง เพราะทิวเขามีลักษณะเหมือนคิ้วนักพรตในลัทธิเต๋า เข้ามาสร้างศาลเจ้าในเทือกเขาแห่งนี้ในศตวรรษที่ 2
China Trip (ตอน 2)
จากวิกิพีเดีย บอกไว้ว่า พระพุทธรูปเล่อซาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเขาเล่อซาน เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับ เขาเอ๋อเหมย เมื่อปี พ.ศ. 2539
พระพุทธรูปเล่อซาน มีความสูงกว่า ๗๐ เมตร ไหล่กว้างกว่า ๒๐ เมตร พระเศียรสูงเท่าภูเขา พระบาทวางอยู่ริมแม่น้ำ พระหัตถ์วางบนเข่า พระพักตร์อิ่มเอิบสงบ
พระพุทธรูปเล่อซานเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยราชวงค์ถัง คือคริสต์ศักราช ๗๐๐ กว่าปี เริ่มต้นโดยมีพระชื่อไห่ทงเดินทางมาถึงเสฉวน และพบว่าเขาเล่อซานตั้งอยู่บนทางผ่านของแม่น้ำสามสาย จึงมักเกิดอุบัติเหตเรือล่มทำให้มีผู้คนเสียชีวิตบ่อยๆ พระไห่ทงจึงตั้งใจสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นตรงจุดนี้เพื่อให้พระคุ้มครองแก่ผู้เดินทาง ต่อมา มีชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาใช้ความพยายามและใช้เวลาอีก ๙๐ ปี สร้างพระพุทธรูปองค์นี้จนสำเร็จ พุทธศาสนิกชนจากท้องที่ต่างๆพากันมานมัสการเพื่อความสงบสุขแห่งจิตใจ
พวกเราลงเรือ ขึ้นดาดฟ้าเพื่อชมพระพุทธรูป พากันถ่ายรูปพรึ่บพรั่บ แต่ ณ ที่ดาดฟ้าเรือแห่งนี้ มีรั้วกันไว้ส่วนหนึ่ง ประมาณว่า...เป็นที่หากินสำหรับคนที่หากินกับการถ่ายภาพคนมีเงิน กับมุมสวยของพระพุทธรูปองค์นี้เอง
หลังจากเที่ยวชมการเรียบร้อยแล้ว สมควรแก่เวลาพวกเราก็พากันกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน ไม่งั้นจะเป็นหมีแพนด้าไปเสียก่อน
China Trip (ตอน 1)
จากกำหนดการเดินทางแล้วจึงรู้ว่าตัวเองจะได้ไปที่อุทยานมู่เก๋อฉัว ทะเลสาบ 7 สี ไห่หลัวโกว-สวรรค์ธารน้ำแข็ง และเสริมบารมีกับพระโพธิสัตว์ผู่เสียน ทองคำ 10 เศียร อ่านกำหนดการเดินทางคร่าว ๆ จะจำได้ก็แต่เฉิงตู ภูเขาง๊อไบ๊ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ได้ยินบ่อย พอมีคนมาถามว่าไปไหนบ้าง ก็จะตอบได้แค่ว่าเฉิงตู ง๊อไบ๊ อย่างอื่นจำไม่ได้ อย่ามาถาม
แล้วก็ถึงวันเดินทาง วันที่ 17 ตค. 52 หัวหน้าคณะทัวร์นัดพร้อมกันที่สุวรรณภูมิตอนเที่ยงคืน มันก็คือวันที่ 18 นั่นแหละ แต่มันช่าง โอ้...แม่เจ้า ทำไมมันต้องบินดึกดื่นค่อนคืนขนาดนั้น ไอ้เรารึก็พยายามอย่างยิ่งที่จะนอนช่วงกลางวันเก็บแรงไว้ เพราะกลัวจะไม่มีแรงเที่ยวหลังจากลงเครื่องบิน พอตั้งใจจะนอนมันก็ไม่หลับ ก็ช่างมัน แต่ดีนะ ได้ดูมูยุลตอนจบ แม้มันจะไม่ประทับใจเท่าไรก็ตาม เอ๊ะ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเนี่ยะ
คณะทัวร์มีด้วยกัน 23 คน แต่เรารู้จักกับพี่ ๆ อีก 3 คน ก็ไม่เป็นไรเพราะเดี๋ยวมันก็ไปคุยไปรู้จักกันเองแหละ คนเรามันก็ต้องเปิดหูเปิดตากันบ้าง อะไรกันบ้าง
เราต้องนั่งเครื่องไปลงที่เซินเจิ้นก่อน ซึ่งก็โคตรดีเลย์ ก็เอาวะ...ทำไงได้ ก็ทนกันไป พอถึงเซินเจิ้น เราก็ต้องต่อเครื่องไปลงที่เฉิงตูต่ออีก เพราะเครื่องที่มันดีเลย์มาตั้งกะแรก มันก็ต้องดีเลย์กันไปอีก ดีเลย์กันมันส์ไปเลย
ขึ้นรถบัสได้ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ เป็นการเที่ยวที่แบบว่า...ตกลงว่าจะมานอนหรือมาเที่ยวกันแน่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
Sunday, October 4, 2009
ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 10)
วันอาทิตย์มีปาร์ตี้ พยายามดูว่าจะมีเซอร์ไพรซ์อะไรอีกมั้ย ก็เอ่อ...มีอีกอ่ะ มีการนำเอาเด็กที่ออกจากบ้านทั้งแปดคนเข้ามาบ้าน เป็นของขวัญให้เด็กสี่คนที่อยู่ได้มาจนถึงวีคสุดท้าย ส่วนเจ้าอ๊อฟ ตัดผมอีกแล้ว แต่คราวนี้ดูใสกิ๊ง ดูเด็กขึ้นเยอะเลย น่ารักดี
แถมยังมีการให้เด็กนอกบ้านได้เข้ามาอาศัยนอนหลับพักผ่อน ดื่มกิน เล่าเรียนหนังสือหนังหา ในบ้านได้เหมือนกัน แต่...ก็มีการบ้านให้เด็ก ๆ นอกบ้านได้ทำด้วยก็คือ นำเอาเพลงของ “เฉลียง” มาร้อยเรียงในเวลาประมาณ 6 นาที ให้เด็ก ๆ เลือกเพลงเอาเอง ไม่พอ...ยังมีการให้เด็กนอกบ้านแต่งเพลงรุ่นอีกต่างหาก ทำให้ได้เห็นศักยภาพของเจ้าแท๊บบี้ที่แต่งเพลงได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ถึงแม้ว่าจะไม่จบก็ตาม ปรบมือดัง ๆ ให้แท๊บบี้ด้วยจ้ะ
Friday, October 2, 2009
ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 9)
2 ทุ่มวันอาทิตย์ มีการแจกโจทย์เพลง Featuring ให้เด็ก ๆ เลือกคนที่จะมา Feat. ด้วยต่าง ๆ นานา สุดท้ายก็เอาเจ้า 6 คนเข้ามา feat. ทำเอาเด็ก ๆ กับคนดูเซอร์ไพรส์กันไป ไอ้เราก็คิดมันคงมันส์กันล่ะงานนี้ เด็กสิบสองคนกลับมาอยู่บ้านเดียวกัน คงยิ่งสนุกกว่าวีคแรกน่ะเนอะ
ปรากฎว่าเด็กที่ออกไปแล้ว ต้องออกไปอาศัยหลับนอนนอกบ้าน นั่นก็คือที่พลาซ่านั่นเอง ไม่ได้เรียนอะไรทั้งสิ้น ห้ามเข้าบ้านอีกต่างหาก คนในบ้านก็ห้ามออกนอกบ้าน จะคุยจะซ้อมกันก็ผ่านกระจกที่คั่นระหว่างตัวบ้านกับนอกบ้านเท่านั้น อะไรมันจะโหดขนาดนั้นหนอ
เจ้าอ๊อฟของเรามาคราวนี้ตัดผมซะหล่อเฟี้ยว หน้าใสกิ๊ง ได้เพลง “อยากรู้แต่ไม่อยากถาม” ร้องคู่กับเจ้านิ อีกเพลง “อย่าทำให้ฉันรักเธอ” ร้องกับเจ้านุกนิก อู้ว์...ยากอีกแล้ว แต่เป็นการมาช่วยเพื่อนร้อง คงไม่กดดันเท่าไหร่ เจ้าอ๊อฟมันก็คึกคักสุดฤทธิ์ ตลกดี วีคนี้กระแสนิชาญแรงสุด ๆ น่ารักน่าลุ้นซะไม่มี
ทีมงานในวีคนี้ครีเอทกันมาก มีการเรียกนักล่าฝันทั้งสองฝั่ง แปะมือกันผ่านกระจก เปิดเพลง “ช่วงที่ดีที่สุด” บิวด์นักล่าฝันซะจนร้องไห้กันสุดฤทธิ์ เลยได้เห็นเจ้าอ๊อฟบอกรักเจ้าที “กูรักมรึงว่ะ” อู้ย...แมนได้ใจอีกแล้วน้องเอ๋ย ต่างคนต่างตาแดง ร้องไห้สะอึกสะอื้น คนดูก็ร้องไห้ตาม มันรักกันดีจริง ๆ นับถือทีมงานจริง ๆ ช่างครีเอทกันนัก
แถมวีคซ้อมใหญ่ ยังมีการแยกห้องซ้อมน้องนอกบ้าน ในบ้าน ให้อยู่คนละห้องอีกต่างหาก เปิดเพลง แล้วตัดภาพเป็นสองจอติดกัน ซ้อมร้องกันไป แหม...นับถือทีมงานวีคนี้จริง ๆ สร้างสรรค์เสียเหลือเกิน คนดูได้แต่อึ้ง เอ่อ...คิดกันได้เนาะ
พอถึงวันเสาร์ น้อง ๆ ก็ได้เจอกันเฉพาะตอนรันทรูเท่านั้น บล็อกก้งบล็อกกิ้งก็งที่เตรียมมาก็ต้องทำให้เสร็จช่วงนั้น เฮ้อ...ทำไมมันทรมานอย่างนี้หนอ ช่างเป็นเกมส์ที่น่าสนุกสำหรับคนดู แต่กับนักล่าฝันแล้ว นึกสงสารจริง ๆ
คอนเสิร์ตจริง ๆ เด็กนอกบ้านส่งให้เพื่อนทำโชว์ได้ดีมากจริง ๆ วีคนี้ดูทุกคนมีความสุขมากมาย กระแสนิชาญยิ่งทำให้มีความสุขเข้าไปใหญ่
เนื่องจาก NaaToy ก็อยู่ในกระแสนิชาญเหมือนกัน ก็เลยขอแปะ MV ของคุณหมาขาวใจดีสักหน่อย ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย MV นี้มันเกินคำบรรยายสำหรับวีคนี้จริง ๆ
ขอเพิ่ม MV ของคุณหมาขาวใจดีอีกเรื่อง แบบว่า...โดนกับเรื่องราวของวีคนี้อีกแล้ว ช๊อบ ชอบ อีกแล้ว ขอบคุณคุณหมาขาวใจดี๊ใจดีค่ะ
Thursday, October 1, 2009
ว่าด้วยเรื่องของหอมชีส......(ตอน 8)
พอดีเสาร์นี้ได้ดูรันทรู เจ้าอ๊อฟร้องเพลงผิดท่อน โอ๊ะโอ๊ย...น้องเอ๊ย คอนเสิร์ตจะเป็นยังไงบ้างเนี่ยะ ชอบให้ตื่นเต้นลุ้นระทึกทุกเสาร์เลยนะน้อง
คอนเสิร์ตจริง น้องเราก็ปากเหวอีกแล้ว พร้อมกับเจ้านุกนิกกับเจ้านิวตี้ ก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้านิวตี้ได้แน่นอน แต่ระหว่างนุกนิกกับเจ้าอ๊อฟนี่ซิ ในใจก็ยังเข้าข้างเจ้าอ๊อฟอยู่ แต่คะแนนวีคนี้น้องเราก็ต่ำเสียเหลือเกิน ก็กลัวใจจริงอ่ะ
ผลออกมา น้องเราก็ต้องออกจากบ้าน เอ่อ...น้ำตาคลอเฉยเลย คือเสียดายโอกาส อยากให้น้องได้เรียน พัฒนาตัวเองมากขึ้นกว่านี้เยอะ ๆ วันนั้นกว่าจะนอนหลับก็ตั้งตีสาม มาคิดว่าทำไมฉันต้องอินกับเจ้าอ๊อฟขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะเราติดตามเจ้านี่มาตลอด แล้วเห็นถึงความตั้งใจ พัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้เสียดายอย่างมากมายที่น้องต้องออกจากบ้าน แต่เกมส์ก็คือเกมส์ ก็พยายามเข้าใจน่ะนะ
วีคต่อมา ติดตามดูเฉพาะคลาสครูใหญ่ ซ้อมใหญ่ และคอนเสิร์ตวันเสาร์เท่านั้น ก็มันไม่สนุกแล้วนี่นา ไม่มีคนที่เราคอยเชียร์ คอยลุ้น คอยดูพัฒนาการในคลาสต่าง ๆ เซ็งจิตสุดฤทธิ์
** ขอบคุณภาพงาม ๆ เครดิตตามภาพเลยค่ะ **